Search
Close this search box.

10 ข้อควรรู้ก่อนปรึกษานักจิตบำบัด ระบายความรู้สึก

2 นาที

10/09/2024

แชร์เนื้อหา:

แพ็คเกจที่คุณอาจสนใจ

ปกติ 24,820 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท

ปกติ 28,500 บาท ลดเหลือ 17,500 บาท

ปกติ 16,500 บาท ลดเหลือ 9,900 บาท

จิตบำบัด หรือการให้คำปรึกษาด้านจิตใจ เป็นกระบวนการที่ช่วยให้บุคคลเข้าใจและจัดการกับปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมได้ดีขึ้น โดยอาศัยการพูดคุยและทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต (นักจิตบำบัด) กับผู้รับคำปรึกษา กระบวนการนี้มุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ โดยทุกข้อมูลจะถูกเก็บรักษาเป็นความลับอย่างเคร่งครัด

จิตบำบัดไม่เพียงแต่เป็นการให้คำปรึกษาทางจิตใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้สำรวจและทำความเข้าใจตนเองในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยมีนักจิตบำบัดคอยแนะนำและสนับสนุนในการค้นพบวิธีการจัดการปัญหาที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณเอง ระยะเวลาในการบำบัดอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะและความรุนแรงของปัญหา ความพร้อมและความร่วมมือของผู้รับคำปรึกษา รวมถึงเทคนิคและวิธีการบำบัดที่ใช้ บางคนอาจต้องการเพียงไม่กี่ครั้งเพื่อจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่บางคนอาจต้องการการบำบัดระยะยาวเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนปรึกษานักจิตบำบัดจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการบำบัด และนี่คือ 10 สิ่งที่ควรรู้เพื่อให้การปรึกษานักจิตบำบัดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ข้อควรรู้ก่อนการบำบัด

1. เข้าใจว่าจิตบำบัดคืออะไร

1. เข้าใจว่าจิตบำบัดคืออะไร

การปรึกษานักจิตบำบัดไม่ใช่การพูดคุยธรรมดา ๆ แต่เป็นกระบวนการทางวิชาชีพที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจตนเอง จัดการกับความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหา โดยเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน การเข้าใจวัตถุประสงค์และวิธีการของจิตบำบัดจะช่วยให้คุณมีความพร้อมและความคาดหวังที่เหมาะสม

จิตบำบัดเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างคุณกับนักจิตบำบัด โดยใช้ทฤษฎีและเทคนิคที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทักษะในการจัดการปัญหาและความท้าทายในชีวิต กระบวนการนี้อาจรวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ในอดีต ความสัมพันธ์ และความกังวล รวมทั้งการทำแบบฝึกหัดเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคุณในการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติในชีวิตจริง

2. เลือกนักจิตบำบัดที่เหมาะสมกับคุณ

2. เลือกนักจิตบำบัดที่เหมาะสมกับคุณ

นักจิตบำบัดแต่ละคนมีวิธีการบำบัดที่แตกต่างกัน เช่น การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ การบำบัดด้วยการพูดคุย หรือการบำบัดด้วยความคิดเชิงพฤติกรรม (CBT) เลือกนักจิตบำบัดที่มีแนวทางตรงกับความต้องการของคุณ ควรค้นคว้าหาข้อมูลและพูดคุยกับนักจิตบำบัดหลายคนเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล การบำบัดด้วย CBT อาจเหมาะสม เพราะเน้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์ ในขณะที่หากคุณต้องการเข้าใจตนเองลึกซึ้งขึ้น การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์อาจเหมาะกว่า นอกจากนี้ ควรพิจารณาประสบการณ์ของนักจิตบำบัดในการรักษาปัญหาเฉพาะของคุณ เช่น ภาวะซึมเศร้า ปัญหาความสัมพันธ์ หรือการจัดการความเครียด การเลือกนักจิตบำบัดที่เหมาะสมจะช่วยให้กระบวนการบำบัดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากการบำบัด

ก่อนเข้าพบนักจิตบำบัด ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาหรือความรู้สึกที่คุณต้องการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความสัมพันธ์ที่มีปัญหา การระบุปัญหาให้ชัดเจนจะช่วยให้นักจิตบำบัดสามารถช่วยคุณได้อย่างตรงจุด

ตัวอย่างเช่น หากคุณมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ คุณอาจต้องการเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายและการจัดการความเครียด หรือหากคุณมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ คุณอาจต้องการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการจัดการความขัดแย้ง

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการบำบัดสามารถเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้ถึง 42% ตามการศึกษาในวารสาร Journal of Consulting and Clinical Psychology นอกจากนี้ การเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษก่อนเข้าพบนักจิตบำบัดยังช่วยให้คุณจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการปรับปรุงได้ดีขึ้น และช่วยให้การสนทนากับนักจิตบำบัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตัวอย่างเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น:

  • “ฉันต้องการลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพูดในที่สาธารณะ จากระดับ 8/10 เหลือ 4/10 ภายใน 3 เดือน”
  • “ฉันอยากเรียนรู้วิธีจัดการความโกรธ โดยสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นในที่ทำงาน และลดความถี่ของการทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานลงครึ่งหนึ่งภายใน 6 เดือน”
  • “ฉันต้องการเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง โดยสามารถแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ภายใน 2 เดือน”

4. เตรียมตัวสำหรับการแบ่งปันความรู้สึกอย่างเปิดเผย

การบำบัดจิตใจมุ่งเน้นการพูดคุยและเปิดเผยความรู้สึกของคุณ หากคุณสามารถพูดถึงความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ คุณจะได้รับประโยชน์จากการบำบัดมากยิ่งขึ้น

การเปิดเผยความรู้สึกอาจเป็นเรื่องยากในตอนแรก แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่การบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากคุณรู้สึกโกรธแต่ไม่กล้าแสดงออก การบอกนักจิตบำบัดว่า “ฉันรู้สึกโกรธมาก แต่ก็กลัวที่จะแสดงออก” จะช่วยให้นักจิตบำบัดเข้าใจและช่วยคุณจัดการกับความรู้สึกนั้นได้ดีขึ้น

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การศึกษาในวารสาร Psychotherapy Research พบว่า ผู้ที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาในระหว่างการบำบัดมีแนวโน้มที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับผู้ที่ปกปิดความรู้สึก นอกจากนี้ การฝึกเขียนบันทึกความรู้สึกก่อนเข้าพบนักจิตบำบัดสามารถช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับการแบ่งปันความรู้สึกได้ดียิ่งขึ้น

5. เข้าใจว่าความลับของคุณจะถูกเก็บรักษาอย่างเคร่งครัด

ความปลอดภัยและความลับเป็นสิ่งสำคัญในการปรึกษาจิตบำบัด นักจิตบำบัดต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์วิชาชีพเกี่ยวกับการรักษาความลับ ดังนั้นคุณจึงสามารถพูดคุยเรื่องส่วนตัวได้โดยไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะถูกเปิดเผย

ตัวอย่างเช่น หากคุณเล่าเรื่องความขัดแย้งในที่ทำงานหรือปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัว นักจิตบำบัดจะไม่เปิดเผยข้อมูลนี้แก่ใคร แม้แต่สมาชิกในครอบครัวของคุณ ยกเว้นในกรณีที่คุณอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นบางประการที่นักจิตบำบัดอาจต้องเปิดเผยข้อมูล เช่น หากพบว่าคุณมีแนวโน้มจะทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น หรือในกรณีที่มีการทารุณกรรมเด็กหรือผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การศึกษาพบว่า 93% ของผู้เข้ารับการบำบัดรายงานว่าความมั่นใจในการรักษาความลับช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยและเปิดเผยมากขึ้นในระหว่างการบำบัด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการรักษา

ข้อควรรู้ระหว่างการบำบัด

6. เปิดใจรับความไม่สบายใจในระยะแรก

6. เปิดใจรับความไม่สบายใจในระยะแรก

การเริ่มต้นปรึกษานักจิตบำบัดอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจในระยะแรก แต่การรับรู้และเปิดใจกับความรู้สึกเหล่านั้นจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น จำไว้ว่าการบำบัดคือการเดินทาง การรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของตนเองเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

ตัวอย่างเช่น คุณอาจรู้สึกประหม่า กังวล หรือแม้แต่อึดอัดในการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับคนแปลกหน้า นี่เป็นปฏิกิริยาปกติที่หลายคนประสบ การบอกนักจิตบำบัดถึงความรู้สึกเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจและสามารถช่วยคุณจัดการกับความรู้สึกได้ดีขึ้น

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การศึกษาพบว่า 63% ของผู้เข้ารับการบำบัดรายงานว่ารู้สึกไม่สบายใจในช่วง 2-3 ครั้งแรกของการบำบัด แต่ 85% ของคนเหล่านี้กลับรู้สึกสบายใจมากขึ้นหลังจากผ่านไป 5-6 ครั้ง นอกจากนี้ ผู้ที่สามารถเปิดใจยอมรับและพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกไม่สบายใจในช่วงแรกมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการบำบัดมากกว่าถึง 40%

ตัวอย่างวิธีจัดการกับความไม่สบายใจ:

  • ฝึกการหายใจลึกๆ ก่อนเข้าพบนักจิตบำบัด เช่น หายใจเข้าลึกๆ นับ 1-4 กลั้นไว้นับ 1-7 แล้วหายใจออกช้าๆ นับ 1-8 ทำซ้ำ 3-5 รอบ
  • เขียนความรู้สึกลงในสมุดบันทึก เช่น “ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อยก่อนเข้าพบนักจิตบำบัด แต่ฉันรู้ว่านี่เป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของฉัน”
  • พูดคุยกับนักจิตบำบัดเกี่ยวกับความรู้สึกไม่สบายใจ เช่น “ดิฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อยที่ต้องเล่าเรื่องส่วนตัว คุณพอจะมีเทคนิคช่วยให้ผ่อนคลายได้ไหมคะ?”

7. ความมุ่งมั่นและความร่วมมือเป็นกุญแจสำคัญ

7. ความมุ่งมั่นและความร่วมมือเป็นกุญแจสำคัญ

ความสำเร็จในการบำบัดไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักจิตบำบัดเพียงคนเดียว ผู้รับคำปรึกษาต้องมีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะทำงานร่วมกันกับนักจิตบำบัดเพื่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างของความมุ่งมั่นและความร่วมมือ รวมถึงการเข้าร่วมการนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ การทำ “การบ้าน” ที่ได้รับมอบหมาย เช่น การจดบันทึกอารมณ์ หรือการฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด และการพยายามนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการบำบัดไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การศึกษาในวารสาร Psychotherapy Research พบว่า ผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการบำบัด เช่น การแสดงความคิดเห็น การถามคำถาม และการทำงานนอกเวลาการบำบัด มีแนวโน้มที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีส่วนร่วมน้อย นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่าคุณภาพของความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับคำปรึกษาและนักจิตบำบัดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำนายผลลัพธ์ของการบำบัด โดยมีผลมากกว่าเทคนิคการบำบัดที่ใช้

8. การบำบัดเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา

ผลลัพธ์จากการบำบัดไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที ต้องมีเวลาในการทำความเข้าใจตนเอง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ การคาดหวังผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จริงจะช่วยให้คุณรับมือกับกระบวนการนี้ได้ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและพฤติกรรมเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา เปรียบเสมือนการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความต่อเนื่อง ในช่วงแรกของการบำบัด คุณอาจรู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้า หรือบางครั้งอาจรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่เรียกว่า “การเปิดแผล” ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการเยียวยา

การตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวร่วมกับนักจิตบำบัดจะช่วยให้คุณเห็นความก้าวหน้าได้ชัดเจนขึ้น และช่วยรักษาแรงจูงใจในการบำบัด จำไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และบางครั้งอาจไม่สังเกตเห็นได้ในทันที การทบทวนความก้าวหน้าเป็นระยะกับนักจิตบำบัดจะช่วยให้คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม

ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว:

  • เป้าหมายระยะสั้น (1-2 สัปดาห์): ฝึกเทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบก้าวหน้า (Progressive Muscle Relaxation) อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
  • เป้าหมายระยะกลาง (1-2 เดือน): สามารถระบุและท้าทายความคิดอัตโนมัติทางลบได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • เป้าหมายระยะยาว (3-6 เดือน): ลดความถี่ของอาการวิตกกังวลลง 50% และสามารถใช้เทคนิคการจัดการความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ท้าทาย

9. สามารถใช้เทคนิคการบำบัดที่หลากหลาย

นักจิตบำบัดมีวิธีการและเทคนิคที่หลากหลาย เช่น การพูดคุย การเล่นบทบาทสมมติ การเขียนไดอารี่ หรือการใช้ศิลปะในการสื่อสาร ควรเปิดใจทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหาวิธีที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณ ตัวอย่างเช่น ในการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (CBT) อาจมีการใช้เทคนิคการท้าทายความคิดอัตโนมัติทางลบ โดยการจดบันทึกและวิเคราะห์ความคิดเหล่านั้น ในขณะที่การบำบัดด้วยการแสดงออก (Expressive Therapy) อาจใช้การวาดภาพหรือปั้นดินน้ำมันเพื่อสื่อสารอารมณ์ที่ซับซ้อน

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ การศึกษาพบว่าการผสมผสานเทคนิคต่าง ๆ ในการบำบัดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 20-30% เมื่อเทียบกับการใช้เทคนิคเดียว นอกจากนี้ 70% ของผู้เข้ารับการบำบัดรายงานว่าการได้ทดลองเทคนิคที่หลากหลายช่วยให้พวกเขาค้นพบวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น การเปิดใจรับเทคนิคใหม่ ๆ อาจทำให้คุณค้นพบวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการกับปัญหาของคุณ อย่าลังเลที่จะบอกนักจิตบำบัดหากคุณรู้สึกว่าเทคนิคใดไม่เหมาะกับคุณ หรือหากคุณอยากลองวิธีการอื่น ๆ

ตัวอย่างเทคนิคการบำบัดและการนำไปใช้:

  • การฝึกสติ (Mindfulness): ฝึกการรับรู้ลมหายใจและความรู้สึกในร่างกายเป็นเวลา 5 นาทีทุกเช้า เพื่อลดความเครียดและเพิ่มสมาธิ
  • การปรับความคิด (Cognitive Restructuring): เมื่อเกิดความคิดว่า “ฉันทำงานนี้ไม่ได้แน่ๆ” ให้ท้าทายความคิดนี้โดยถามตัวเองว่า “มีหลักฐานอะไรที่สนับสนุนหรือคัดค้านความคิดนี้?”
  • การเผชิญหน้ากับความกลัว (Exposure Therapy): หากกลัวการขึ้นลิฟต์ อาจเริ่มจากการยืนใกล้ลิฟต์ แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับไปจนถึงการขึ้นลิฟต์ในที่สุด

ข้อควรรู้หลังการบำบัดและการดูแลต่อเนื่อง

10. อย่าลืมว่าคุณมีสิทธิ์เลือก

      หากคุณรู้สึกว่าแนวทางของนักจิตบำบัดไม่เหมาะสมกับคุณ อย่ากลัวที่จะลองหาแนวทางหรือคนอื่นที่เหมาะสมกว่า ความรู้สึกว่าคุณได้รับการเข้าใจและยอมรับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการบำบัด

      การเลือกนักจิตบำบัดเป็นเรื่องส่วนตัวและสำคัญมาก คุณมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกสบายใจและไว้วางใจนักจิตบำบัดของคุณ หากคุณรู้สึกว่าไม่เข้ากันหรือไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการหลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว การพิจารณาเปลี่ยนนักจิตบำบัดเป็นเรื่องปกติและยอมรับได้ อย่าลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นหรือความกังวลของคุณกับนักจิตบำบัด บางครั้งการสื่อสารอย่างเปิดเผยอาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีการที่เหมาะสมมากขึ้น แต่หากคุณยังรู้สึกไม่สบายใจ การหานักจิตบำบัดคนใหม่ก็เป็นทางเลือกที่ดี

      จำไว้ว่าคุณเป็นผู้ควบคุมกระบวนการบำบัดของตัวเอง การตัดสินใจเลือกหรือเปลี่ยนนักจิตบำบัดไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพจิตที่ดีของคุณ ความสบายใจและความไว้วางใจในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับนักจิตบำบัดเป็นรากฐานสำคัญของการบำบัดที่มีประสิทธิภาพ

      บทสรุป

      การเตรียมตัวก่อนปรึกษานักจิตบำบัดเป็นกุญแจสำคัญสู่การบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ควรทำความเข้าใจว่าจิตบำบัดเป็นกระบวนการทำงานร่วมกัน เลือกนักบำบัดที่เหมาะกับความต้องการ ตั้งเป้าหมายชัดเจน เปิดใจแบ่งปันความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ เข้าใจหลักการรักษาความลับ ยอมรับความไม่สบายใจในช่วงแรก ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา เปิดรับเทคนิคการบำบัดที่หลากหลาย และรักษาสิทธิ์ในการเลือกหรือเปลี่ยนแปลงการบำบัด การเตรียมพร้อมและมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นจะช่วยเพิ่มโอกาสบรรลุเป้าหมายและพัฒนาสุขภาพจิตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

      บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

      เหิร ประสานเกลียว

      Hern Prasarnkleo

      ประวัติการศึกษา

      Master/s degree : Mental health ,Department of Psychiatry, Faculty of Medicine, Chulalongkorn University Bachelor's degree : Department of Curriculum and Instruction, Chulalongkorn University

      เฉพาะทางด้าน

      Couple and marriage therapy,Loss and grief therapy,Self-discovery therapy

      บทความที่น่าสนใจ