7 วิธี ดูแลตัวเองเมื่อพักฟื้นหลังผ่าตัด (ให้ฟื้นเร็ว)

การผ่าตัดไม่ใช่จุดจบของการรักษา แต่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว โดยที่ต้องใส่ใจการพักฟื้นมากไม่แพ้ตอนอยู่ในห้องผ่าตัดนั้นเป็นเพราะว่าแม้การผ่าตัดจะผ่านไปด้วยดี แต่ถ้าช่วงพักฟื้นขาดการดูแลอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้โดยไม่รู้ตัว เช่น แผลติดเชื้อ เลือดคั่ง ลิ่มเลือดอุดตัน หรือฟื้นตัวช้ากว่าที่ควร
นั่นทำให้ในวันนี้ Welida Health Wellness Center จะขอแชร์ 7 สิ่งที่ควรรู้และควรทำในช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายฟื้นเร็วขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อน และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจได้ดังเดิม
1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ตอนที่อยู่ในห้องผ่าตัดแต่คือช่วงพักฟื้น ซึ่งผู้ป่วยต้องเริ่มรับผิดชอบการดูแลตัวเอง โดยไม่มีพยาบาลอยู่ข้างเตียงเหมือนในโรงพยาบาลอีกต่อไป การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลายคนเลือกทำเฉพาะบางข้อที่ตัวเองสะดวก เช่น รับประทานยาเฉพาะเวลาปวด ไม่เปลี่ยนผ้าพันแผลตรงเวลา หรือฝืนยกของหนักเพราะรู้สึกว่า “ก็ไม่ได้เจ็บแล้ว” ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้อาจทำให้แผลติดเชื้อ แผลแยก หรือภาวะแทรกซ้อนที่ควรป้องกันได้ กลับลุกลามจนต้องนอนโรงพยาบาลซ้ำ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าขาดนัดแพทย์ แม้รู้สึกว่าอาการดีขึ้น เพราะแพทย์จะประเมินความคืบหน้าของการสมานแผล ดูอาการแทรกซ้อนลึก ๆ ที่เรามองไม่เห็นเอง และอาจปรับยาให้เหมาะกับสภาวะล่าสุดของร่างกาย ซึ่งช่วยให้การฟื้นตัวเร็วขึ้นและปลอดภัยกว่าเดิม
2. ดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาดป้องกันการติดเชื้อ

แผลคือจุดเปราะบางที่สุดของร่างกายหลังผ่าตัด และยังเป็นด่านแรกที่เชื้อโรคสามารถเข้ามาได้โดยตรง หากละเลยเพียงเล็กน้อย เช่น ไม่ล้างมือก่อนแตะแผล ใช้อุปกรณ์ไม่สะอาด หรือปล่อยให้แผลอับชื้นเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อ บวม แดง หรือแผลแยกได้โดยไม่รู้ตัว
ช่วง 7–14 วันแรกคือช่วงที่ต้องระวังที่สุด ผู้ป่วยควร ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผลทุกครั้ง ใช้ผ้าก๊อซและอุปกรณ์ทำแผลที่สะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อ หากแพทย์อนุญาตให้อาบน้ำได้ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลแช่น้ำโดยตรง ห้ามแช่น้ำในอ่าง ว่ายน้ำ หรือขัดถูแผลเด็ดขาด หากพบอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมร้อนแดงจัดมีหนองมีกลิ่นหรือปวดมากขึ้นผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว
3. ขยับร่างกายให้เร็วเท่าที่ทำได้แต่ต้องไม่หักโหม

การเคลื่อนไหวร่างกายหลังผ่าตัดเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ผู้ป่วยหลายคนกลับเข้าใจผิดในสองทาง บางคนกลัวแผลฉีกเลยนอนนิ่งจนเกิดภาวะแทรกซ้อน บางคนเร่งลุกเดินเพราะอยากหายไว ซึ่งทั้งสองแบบล้วนเสี่ยงพอ ๆ กัน
สิ่งที่ควรทำคือ ขยับตัวอย่างพอดีและสม่ำเสมอตามที่แพทย์อนุญาต เริ่มจากการพลิกตัว ลุกนั่งบนเตียง หรือเดินเบา ๆ ภายในบ้านทุก 1–2 ชั่วโมง การเคลื่อนไหวช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการบวม ลดโอกาสเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) และกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ
โดยเฉพาะหากผ่าตัดเกี่ยวกับกระดูก ข้อ หรือกล้ามเนื้อ แนะนำให้ ทำกายภาพบำบัดตามแผนของแพทย์อย่างเคร่งครัด อย่าดัดแปลงท่าเองหรือฝืนร่างกายเกินไป เพราะการออกแรงผิดจังหวะอาจทำให้แผลอักเสบหรือกล้ามเนื้อฉีกซ้ำได้ การเคลื่อนไหวที่ถูกวิธีคือกุญแจของการฟื้นตัวที่ดีไม่ใช่ความเร็วแต่คือความสม่ำเสมอและเหมาะสม
4. กินให้ได้อย่าอดแม้จะไม่อยากอาหาร

หลังผ่าตัด ร่างกายต้องใช้พลังงานและสารอาหารจำนวนมากในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ สมานแผล และเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ผู้ป่วยหลายคนมักเจอปัญหา เบื่ออาหารคลื่นไส้หรือไม่หิว โดยเฉพาะช่วง 1–3 วันแรก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยาสลบหรือยาแก้ปวด แม้ไม่อยากอาหารก็ต้องพยายามกินให้ได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะโปรตีนคือวัตถุดิบสำคัญที่ร่างกายใช้ซ่อมแซมแผล แนะนำให้ได้รับโปรตีนวันละ 1.5–2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น จากไข่ เนื้อปลา เต้าหู้ ถั่ว หรือเครื่องดื่มโปรตีนสำเร็จรูปในช่วงที่กินอาหารหลักไม่ไหว
นอกจากนี้ควรเสริม วิตามินซีวิตามินเอธาตุเหล็กและไขมันดี จากผักผลไม้หลากสี น้ำมันมะกอก อะโวคาโด หรือถั่วเปลือกแข็ง เพื่อช่วยลดการอักเสบและเร่งกระบวนการสมานแผล หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงอาหารหมักดองอาหารสุกๆดิบๆและงดแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาดในช่วงพักฟื้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดการติดเชื้อหรือทำให้แผลหายช้าลง
5. ดื่มน้ำมากพอและพักผ่อนให้เพียงพอ

น้ำและการนอนคือสองสิ่งพื้นฐานที่มีผลอย่างมากต่อการฟื้นตัวของร่างกายหลังผ่าตัด แต่กลับถูกมองข้ามบ่อยที่สุด การขาดน้ำทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดช้าลง แผลหายช้า ระบบขับถ่ายติดขัด และอาจนำไปสู่ภาวะท้องผูกหรือปัสสาวะติดเชื้อ ผู้ป่วยควร ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1.5–2 ลิตร หรือมากกว่านั้นหากได้รับยาหลายชนิด เว้นแต่แพทย์จะมีคำแนะนำเฉพาะ เช่น ในกรณีผู้ป่วยโรคหัวใจหรือโรคไต
ในขณะเดียวกัน การนอนหลับคือช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ควรนอนวันละ 7–8 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอ มือถือ หรือสิ่งกระตุ้นก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ฮอร์โมนฟื้นฟูร่างกายทำงานได้เต็มที่ อย่าคิดว่าแค่กินยาแล้วจะหายได้เองเพราะถ้าร่างกายไม่มีพลังงานไม่มีน้ำไม่มีเวลาซ่อมแซมจากการพักผ่อนการฟื้นตัวก็จะช้าและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
6. ควบคุมความเจ็บปวดให้อยู่ไม่ฝืนทน

ความเจ็บปวดหลังผ่าตัดเป็นเรื่องปกติแต่การปล่อยให้ปวดมากเกินไปจะส่งผลเสียมากกว่าที่คิด เพราะมันจะทำให้คุณไม่กล้าขยับ ไม่กล้าหายใจลึก ไม่อยากเดิน และส่งผลให้การฟื้นตัวช้าลง เสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือแม้แต่ปอดอักเสบได้ในบางกรณี
การควบคุมความเจ็บปวดไม่ใช่การไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คือ การควบคุมให้ระดับความปวดอยู่ในจุดที่คุณยังขยับตัวและนอนหลับได้ คุณควรรับประทานยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง อย่างตรงเวลา อย่ารอจนปวดหนักแล้วค่อยกิน และหากรู้สึกว่าตัวยาที่ใช้ไม่ได้ผลหรือมีผลข้างเคียง ควรแจ้งแพทย์เพื่อปรับสูตร เช่น การใช้ยากลุ่มพาราเซตามอลสลับกับไอบูโพรเฟน แทนการใช้ยากลุ่มมอร์ฟีนหรือโอปิออยด์
7. อย่ารีบกลับไปใช้ชีวิตปกติเกินไป

แม้ร่างกายภายนอกจะดูปกติ แต่ภายในอาจยังฟื้นไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจำนวนมากมักเข้าใจผิดว่า เมื่อไม่มีอาการเจ็บหรือเดินได้แล้ว แปลว่ากลับไปใช้ชีวิตหนัก ๆ ได้เหมือนเดิม เช่น ขับรถ ออกกำลังกาย เดินทางไกล หรือกลับไปทำงานทันที ความจริงคือ ร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นตัวระดับลึก ทั้งกล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และระบบภูมิคุ้มกัน หากหักโหมเกินไป อาจทำให้แผลแยก กล้ามเนื้อฉีก หรือเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยที่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนใหญ่ได้
โดยก่อนกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ควรถามแพทย์ให้แน่ใจว่า
- ขับรถได้หรือยัง (โดยเฉพาะหากยังใช้ยาแก้ปวด)
- กลับไปทำงานได้ไหม (ขึ้นกับประเภทของงาน)
- ออกกำลังกายชนิดไหนได้ และควรเริ่มแบบใด
- ต้องเว้นระยะนานเท่าไรก่อนเดินทางไกล
พักฟื้นให้ดีในช่วงต้นคือการป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์อีกครั้ง อย่าปล่อยให้ความรีบร้อนทำลายความพยายามทั้งหมดของคุณ