10 วิธียกกระชับหน้าด้วยตนเอง พร้อมท่าออกกำลังกายใบหน้า ทำได้ทุกวัน

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ เมษายน 15, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

ใบหน้าที่ดูเต่งตึง กรอบหน้าชัด และไร้ริ้วรอย ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องไปทำที่คลินิกเสริมความงามเสมอไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว กล้ามเนื้อบนใบหน้าเรามีมากกว่า 40 มัด ซึ่งคุณเองก็สามารถ “ออกกำลังกายหน้า” ได้ไม่ต่างจากกล้ามเนื้อส่วนอื่นของร่างกาย

ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การดูแลผิวด้วยการทำ Face Yoga และ Facial Exercise ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดอาการบวมน้ำที่ทำให้หน้าดูหย่อนคล้อย ทั้งยังเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่เจ็บตัว และทำได้ทุกวันด้วยตัวเอง นั่นทำให้ในวันนี้ Welida Wellness Center จึงรวบรวม 10 วิธีง่าย ๆ เพื่อยกกระชับใบหน้าที่คุณสามารถทำได้ที่บ้าน ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และที่สำคัญ คือ ทำได้ทุกวันจริง เพื่อให้ใบหน้าคุณกลับมาดูเฟิร์ม สดใส และมีพลังเหมือนวันแรกที่รักผิวของตัวเองกัน

1. เริ่มต้นวันด้วยการบริหารใบหน้าทั้งระบบ

การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าคือวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการยกกระชับ เพราะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด เพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ผิว และทำให้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ บนใบหน้าเกิดแรงตึงตัวขึ้น วิธีเริ่มต้นให้คุณนั่งหลังตรง ผ่อนคลายไหล่ หายใจเข้า-ออกลึก ๆ สัก 3 รอบเพื่อรีเซ็ตอารมณ์ จากนั้นลองฝึกท่าบริหารพื้นฐานเช่น

  • เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หลับตา แล้วยิ้มให้กว้างที่สุดโดยไม่ให้ฟันโผล่ ค้างไว้ 5 วินาที
  • ทำหน้าตกใจสุดชีวิต ดึงหน้าผากให้ตึงด้วยการเบิกตาให้โต และยกคิ้วสูงสุด ค้างไว้ 5 วินาที
  • พองลมในปากสลับซ้าย–ขวา บน–ล่าง เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบแก้มและมุมปาก

ให้ทำเซตละ 5–10 ครั้ง ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีต่อวัน แต่ผลลัพธ์จะเริ่มชัดขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ โดยเฉพาะในส่วนกรอบหน้า แก้ม และมุมปากที่ดูได้รูปขึ้น โดยสิ่งสำคัญคือ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ฝืน และไม่เครียดขณะทำ ให้รู้สึกเหมือนกำลังนวดหน้าให้ตัวเองอย่างผ่อนคลาย เพราะนั่นแหละคือพลังฟื้นฟูที่ดีที่สุดของผิว

2. นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าทุกคืนก่อนนอน

การนวดหน้าคือวิธีที่ช่วยฟื้นคืนความกระชับให้ผิวหน้าได้อย่างนุ่มนวล โดยเฉพาะเมื่อทำในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่ การนวดจึงไม่เพียงช่วยให้ครีมซึมลึกขึ้น แต่ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ลดอาการบวมน้ำ และคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อใบหน้าได้ด้วย

เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาดและซับให้แห้งหมาด ๆ จากนั้นลงออยล์หรือเซรั่มที่มีเนื้อบางเบา เพื่อให้มือสามารถลื่นไหลไปบนผิวโดยไม่ดึงรั้งมากเกินไป จากนั้นวางนิ้วกลางและนิ้วนางไว้ที่แนวสันกราม แล้วค่อย ๆ ลูบไล่ขึ้นไปที่ขมับ ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง จากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ดึงผิวเบา ๆ ตามแนวร่องแก้มขึ้นไปหาข้างจมูก แล้วปาดออกไปทางแก้มเป็นรูปตัววีที่หน้าผาก ใช้นิ้วกลางทั้งสองข้างวางบริเวณหว่างคิ้ว แล้วลากออกด้านข้างเป็นเส้นตรงเบา ๆ ไปจนถึงไรผม ทำซ้ำ 5 ครั้งเพื่อช่วยลดรอยขมวดคิ้วและความตึงบริเวณหน้าผาก

การนวดเพียงวันละ 5–10 นาที ไม่เพียงช่วยเรื่องการกระชับ แต่ยังทำให้ผิวดูสดใสขึ้นในเช้าวันถัดไป รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าเบาสบายขึ้นแบบไม่ต้องพึ่งสกินแคร์แพง ๆ เพราะกล้ามเนื้อและระบบภายในได้รับการปลุกให้ทำงานด้วยมือคุณเอง

3. ฝึกโยคะใบหน้าเฉพาะจุด

ถ้าการบริหารใบหน้าโดยรวมคือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบกว้าง โยคะใบหน้าคือการเจาะลึกเพื่อจัดการกับจุดที่หย่อนคล้อยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นใต้ตา มุมปาก ร่องแก้ม หรือแนวกรอบหน้า

หนึ่งในท่าที่แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มมีเหนียงหรือแนวกรามไม่คมชัดคือท่า V-lift เริ่มจากเปิดปากเป็นวงกลมเล็ก ๆ โดยให้ริมฝีปากคลุมฟันไว้ แล้วยิ้มด้วยมุมปากให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมวางนิ้วชี้ไว้ที่คาง ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยในขณะที่ยังยิ้มอยู่ จากนั้นขยับกรามขึ้นลงเบา ๆ ช้า ๆ จะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณใต้คางและแนวกรามเริ่มทำงาน และอีกหนึ่งท่าที่น่าสนใจคือ Fish Face หรือการดูดแก้มเข้าหากันให้มากที่สุดจนเห็นโหนกแก้มชัด ยิ้มค้างไว้โดยไม่ให้ฟันโผล่ และกลั้นลมหายใจเบา ๆ 5 วินาที จากนั้นคลายกล้ามเนื้อช้า ๆ ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง จะรู้สึกได้ถึงแรงตึงที่กระตุ้นทั้งแก้มและมุมปาก

ท่าเหล่านี้อาจดูแปลกในตอนแรก แต่เมื่อฝึกสม่ำเสมอจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อใบหน้าที่เด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูปหรือส่องกระจก จะสัมผัสได้ว่าเส้นกรอบหน้าคมขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแอปปรับหน้าเรียวอีกต่อไป

4. การหายใจลึกฝึกคลายกล้ามเนื้อหน้า

กล้ามเนื้อใบหน้าที่ดูหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดจากอายุหรือแรงโน้มถ่วงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากความเครียดสะสมที่เรามักไม่รู้ตัว เช่น การขมวดคิ้วเวลาคิดงาน การเม้มปากตอนหงุดหงิด หรือการเบียดฟันโดยไม่รู้ตัวตอนนอน พฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ส่งผลให้กล้ามเนื้อบางมัดตึงตัวตลอดเวลา และเมื่อไม่ได้รับการคลาย ริ้วรอยก็เริ่มเกิดขึ้นตามรอยพับที่ใช้งานบ่อย ซึ่งการหายใจลึก ๆ แบบมีสติควบคู่กับการคลายกล้ามเนื้อใบหน้าจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวผ่อนคลาย และยกกระชับได้อย่างนุ่มนวล

เริ่มจากการนั่งหลังตรง หลับตา หายใจเข้าทางจมูกนับ 1 ถึง 4 ให้ท้องพอง แล้วหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ นับ 1 ถึง 6 ขณะหายใจออก ให้ตั้งใจปล่อยแรงตึงบริเวณหน้าผาก ดวงตา มุมปาก คาง และไหล่ลงไปพร้อมกัน ทำซ้ำอย่างน้อย 3 รอบ จากนั้นให้ลองคลายกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น หลับตาแล้วยกคิ้วขึ้นสูงสุด ค้างไว้ 5 วินาที แล้วปล่อย ยิ้มกว้างสุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ให้ฟันโผล่ แล้วผ่อนออกช้า ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือกล้ามเนื้อจะได้รับสัญญาณให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และลดความเกร็งสะสม

การฝึกแบบนี้ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที แต่เป็นช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับให้ผิวหน้าได้ฟื้นคืนความยืดหยุ่นจากภายในโดยไม่ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์ใด ๆ เลย

5. ใช้น้ำเสียงและการออกเสียงเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบปากและแก้ม

เวลาพูด เราใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่าที่คิด และหากเราใช้ให้ถูกวิธี เสียงที่เปล่งออกมาก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือกระชับผิว ได้เช่นกัน วิธีนี้มาจากศาสตร์โยคะเสียงที่ใช้กันมายาวนานในหลายวัฒนธรรม ซึ่งช่วยทั้งเรื่องสมาธิ และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบปาก แก้ม และแนวขากรรไกร

เริ่มจากท่าง่าย ๆ อย่างการออกเสียงสระแบบชัดถ้อยชัดคำ โดยให้ยืนหน้ากระจก มองใบหน้าตัวเองเต็ม ๆ แล้วเปล่งเสียงต่อไปนี้ทีละคำ อา – อี – อู – เอ – โอ โดยออกเสียงช้า ๆ ชัด ๆ และพยายามให้กล้ามเนื้อหน้าทำงานเต็มที่ทุกเสียง

ขณะเปล่งเสียง ให้จินตนาการว่าคุณกำลังยืดกล้ามเนื้อแต่ละส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น อา เพื่อเปิดมุมปาก อี เพื่อดึงแก้มขึ้น อู เพื่อยกริมฝีปากส่วนล่าง เอ เพื่อยืดแนวคาง และ โอ เพื่อดึงแนวร่องแก้มให้ตึงขึ้น

นอกจากจะช่วยให้เสียงชัดและผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้ดียิ่งขึ้น ใครที่มีปัญหาร่องแก้มชัด มุมปากตก หรือผิวข้างแก้มเริ่มหย่อน ท่านี้จะช่วยเรียกแรงยกกลับมาให้เห็นความต่างในเวลาไม่นาน

ทำเป็นประจำทุกวันวันละ 2–3 นาที อาจระหว่างขับรถ รอรถไฟ หรือแม้แต่ตอนล้างหน้า แค่เปลี่ยนการใช้เสียงให้มีสติ ผิวหน้าคุณก็จะเริ่มเปลี่ยนไปแบบที่ไม่ต้องใช้เข็มใด ๆ

6. ล้างหน้าด้วยเทคนิคเย็น

การล้างหน้าอาจดูเหมือนกิจวัตรธรรมดาที่เราทำทุกวัน แต่หากเพิ่ม อุณหภูมิ และ จังหวะสัมผัส ให้ถูกจุด การล้างหน้าก็สามารถกลายเป็นช่วงเวลาที่ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างคาดไม่ถึง หลังตื่นนอน ระบบไหลเวียนบนใบหน้ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ผิวมักจะบวมน้ำ หรือดูอ่อนแรงจากการนอน การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัดหรือการประคบด้วยผ้าเย็นบาง ๆ จะช่วยกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยหดตัวและกลับมาทำงานดีขึ้น ส่งผลให้ผิวตื่นตัว ดูสดใสขึ้นทันที และแน่นกระชับโดยธรรมชาติ

เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนตามปกติ จากนั้นล้างตามด้วยน้ำเย็นหรือน้ำแร่เย็นจัดสลับกับน้ำอุณหภูมิห้อง 2–3 รอบ เพื่อกระตุ้นให้ผิวเกิดการบีบตัวและคลายตัวเหมือนการออกกำลังกายเล็ก ๆ ให้กับเซลล์ผิว ยิ่งในวันที่คุณอยากบูสต์ความเฟิร์มเป็นพิเศษ ลองใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเย็นจัดบิดหมาด ๆ แปะเบา ๆ ตามแนวแก้ม ใต้ตา และกรอบหน้า ค้างไว้จุดละ 10 วินาที แล้วปาดออกด้านข้างเหมือนการนวดเย็นเบา ๆ เทคนิคนี้ไม่ต้องใช้ครีม ไม่ต้องพึ่งเครื่องมือ แต่ช่วยให้ผิวแน่น สดใส และรู้สึกเฟรชขึ้นในทุกเช้า เหมาะมากสำหรับวันที่มีนัดสำคัญ หรืออยากให้หน้าดูไม่โทรมแม้เพิ่งตื่น

7. เปลี่ยนท่านอนลดแรงกดที่ทำให้หน้าหย่อน

การนอนคือช่วงเวลาทองของผิว แต่รู้ไหมว่าท่านอนที่ไม่ถูกต้องสามารถทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อยได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำที่ทำให้ผิวหน้าถูกกดทับกับหมอนซ้ำ ๆ ทุกคืน เกิดเป็นรอยย่นเฉพาะจุด เช่น ข้างแก้ม ร่องใต้ตา หรือแนวกราม โดยที่เราไม่รู้ตัว การฝึกนอนหงายจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผิวได้พักอย่างแท้จริง เพราะไม่มีแรงโน้มถ่วงจากด้านข้างมากดทับผิว ไม่รบกวนการไหลเวียนเลือด และไม่ทำให้คอลลาเจนในผิวต้องรับแรงกดแบบจุดเดียวซ้ำ ๆ

หากคุณเป็นคนนอนตะแคงหรือเปลี่ยนท่าบ่อย การฝึกให้นอนหงายอาจเริ่มจากการใช้หมอนข้างพยุงสองข้างไม่ให้พลิกตัว หรือลองใช้หมอนหนุนศีรษะที่มีส่วนโค้งพอดีรูปคอเพื่อรองรับได้ดีขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมคือการใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้านุ่มลื่น เช่น ผ้าไหมหรือซาติน ซึ่งลดการเสียดสีของผิวหน้าและช่วยถนอมเส้นผมไปพร้อมกัน

หากคุณเป็นคนนอนตะแคงหรือเปลี่ยนท่าบ่อย การฝึกให้นอนหงายอาจเริ่มจากการใช้หมอนข้างพยุงสองข้างไม่ให้พลิกตัว หรือลองใช้หมอนหนุนศีรษะที่มีส่วนโค้งพอดีรูปคอเพื่อรองรับได้ดีขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยเสริมคือการใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้านุ่มลื่น เช่น ผ้าไหมหรือซาติน ซึ่งลดการเสียดสีของผิวหน้าและช่วยถนอมเส้นผมไปพร้อมกัน

8. ใช้แรงลมในปากบริหารแก้ม

อีกหนึ่งท่าง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์และไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังยกกระชับหน้าอยู่ นั่นคือการบริหารแก้มด้วยลมในปาก หรือที่หลายคนเรียกว่า “puffer fish exercise” ซึ่งเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ร่องข้างจมูก และมุมปากที่มักเกิดร่องลึกก่อนส่วนอื่น

วิธีทำเริ่มจากการสูดลมหายใจเข้าแล้วพองลมไว้ในปากให้เต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นค่อย ๆ เคลื่อนลมไปทางขวาให้พองแก้มขวาเต็มที่ ค้างไว้ 5 วินาที แล้วย้ายไปแก้มซ้าย ค้างอีก 5 วินาที ต่อด้วยการดันลมไปยังเพดานปากและดันลงมาที่ด้านล่างของปาก

ทำวนครบทั้ง 4 จุดจบเป็น 1 รอบ แนะนำให้ทำวันละ 3–5 รอบ โดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังล้างหน้า หรือระหว่างทำงานช่วงบ่ายที่กล้ามเนื้อเริ่มล้า การฝึกแบบนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อแก้มมีแรงพยุงตัว ไม่หย่อนคล้อยง่าย และยังช่วยให้ร่องแก้มดูจางลง ใบหน้าดูมีวอลลุ่มมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าตอบ หรือใบหน้าดูอ่อนล้าจากการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ท่านี้ยังเป็นท่าที่ช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นเพราะกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในระดับลึก

9. ฝึกโยคะลิ้นเพื่อเก็บเหนียงยกกรอบหน้า

เหนียงหรือไขมันใต้คางอาจดูเหมือนเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วส่งผลอย่างมากต่อภาพรวมของใบหน้า เพราะเมื่อแนวกรอบหน้าไม่ชัด ใบหน้าก็ดูหย่อนคล้อยและไม่กระชับ แม้จะแต่งหน้าหรือดูแลผิวดีแค่ไหนก็ตาม หนึ่งในวิธีธรรมชาติที่สามารถจัดการปัญหานี้ได้คือท่าโยคะที่เรียกว่า Jivha Bandha หรือท่าลิ้นล็อก ซึ่งมาจากศาสตร์โยคะอินเดียดั้งเดิม โดยจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อใต้คาง ขากรรไกร และลำคอที่มักไม่ค่อยได้ใช้งานในการใช้ชีวิตประจำวัน

วิธีฝึกเริ่มจากการนั่งหลังตรง หายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ม้วนปลายลิ้นไปแตะเพดานปากบริเวณด้านหลังของฟันหน้า จากนั้นหายใจออกทางจมูกช้า ๆ ขณะยังคงล็อกลิ้นไว้ในตำแหน่งเดิมค้างไว้ 5–10 วินาที แล้วคลายลิ้นออก หายใจเข้าอีกครั้งแล้วทำซ้ำเป็นรอบ ๆ วันละ 5–10 ครั้ง ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที แต่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อคอและกรอบหน้าได้ดีเยี่ยม

ท่านี้ไม่เพียงช่วยลดการสะสมของไขมันใต้คาง แต่ยังช่วยจัดท่าของลิ้นให้ถูกต้อง ส่งผลต่อบุคลิกและสุขภาพช่องปากโดยรวมอีกด้วย ใครที่มีปัญหาเหนียงแม้จะผอม หรือต้องการให้คอและแนวกรามดูกระชับยิ่งขึ้น ท่านี้ถือเป็นตัวช่วยลับที่ควรลองอย่างยิ่ง

10. การหน้าแบบ Simha Mudra 

เมื่อผ่านวันมาทั้งวัน กล้ามเนื้อใบหน้าของเรามักจะตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว จากการแสดงสีหน้า พูดคุย ใช้สายตาจ้องจอ หรือแบกรับอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สะสมเป็นความล้าในกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ Simha Mudra หรือท่าสิงโตคำราม นั้นเป็นอีกหนึ่งท่าโยคะที่ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อใบหน้าและลำคอได้พร้อมกันในท่าเดียว โดยจะปลดปล่อยความตึงในบริเวณที่ลึกที่สุด เช่น ใต้คาง แก้ม กราม และรอบดวงตา ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และผิวกลับมากระชับได้เองตามธรรมชาติ 

เริ่มต้นด้วยการนั่งท่าสบาย ๆ หลังตรง มือวางบนเข่าหรือหน้าขา หายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นขณะหายใจออก ให้แลบลิ้นออกให้สุดลงด้านล่างพยายามให้แตะคาง พร้อมเบิกตาให้โต ทำเสียงฮาเบา ๆ จากในลำคอเหมือนสิงโตคำราม แล้วคลายตัวกลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำประมาณ 3–5 รอบ คุณจะรู้สึกได้ทันทีว่ากล้ามเนื้อใบหน้าคลายออก ผิวรู้สึกเบา และหัวโล่งสบายกว่าตอนก่อนฝึกอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งหมด 10 วิธียกกระชับหน้าที่เราแนะนำไปนี้ อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ ที่หลายคนมองข้ามในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหายใจ การขยับลิ้น การบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งท่านอนและวิธีล้างหน้า แต่เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งเหล่านี้อย่างตั้งใจ และสม่ำเสมอทุกวัน มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนทั้งผิวและความรู้สึกของคุณจากภายใน
เพราะการยกกระชับหน้าไม่จำเป็นต้องเริ่มที่คลินิก หรือผลิตภัณฑ์ราคาแพงเสมอไป แต่มันเริ่มได้จากการรู้จัก ฟัง และ ใช้กล้ามเนื้อของใบหน้าอย่างถูกวิธี ร่วมกับการดูแลร่างกายทั้งจากภายในและภายนอกอย่างอ่อนโยน

ทุกข้อที่กล่าวมาไม่ใช่สูตรลับ ไม่ใช่เทคนิคเหนือธรรมชาติ แต่คือการกลับมาใช้พลังฟื้นฟูที่ร่างกายเรามีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านกิจวัตรง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวันโดยไม่ต้องเปลี่ยนชีวิต ซึ่ง Welida Wellness Center ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้คุณกลับมารักตัวเองในเวอร์ชันธรรมชาติที่สุด ด้วยวิธีที่ไม่ฝืน ไม่เร่ง และยั่งยืน เพราะผิวที่ดีก็คือผิวที่ได้รับความใส่ใจในจังหวะที่เหมาะสม ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แค่ทำอย่างต่อเนื่อง แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่จากภายในจริง ๆ

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

จีณณ์ ตันติพรสิน

Jene Tantipornsin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Lerdsin hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology