10 เทคนิคลดริ้วรอย พร้อมวิธีทำได้ด้วยตนเอง ง่ายๆ

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ เมษายน 10, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

เราเข้าใจปัญหาใหญ่สำหรับสาว ๆ ที่เริ่มกังวลกับริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เริ่มมาเคาะประตูผิวหรืออยากจะชะลอวัยให้หน้าใสเด้งได้นานขึ้น บอกเลยว่าคุณมาถูกที่แล้ว เพราะริ้วรอยไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัว แต่การดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ คือเคล็ดลับที่ทำให้ผิวยังดูเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติได้แบบไม่ต้องพึ่งคลินิก ทำให้ในวันนี้ Welida Wellness Center รวบรวม 10 เทคนิคง่ายๆที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน เพื่อช่วยลดและป้องกันริ้วรอย พร้อมแนะนำว่าแต่ละวิธีเหมาะกับใคร และทำไมมันถึงเวิร์ก ไปดูพร้อมกันเลย

1. ทาครีมกันแดดทุกวันแม้อยู่ในที่ร่ม

แสงแดดคือศัตรูเงียบที่ทำร้ายผิวเราได้ทุกวัน ไม่ว่าจะออกไปข้างนอกหรืออยู่ในบ้านก็ตาม เพราะรังสี UV ที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวนั้น ไม่ได้มาจากแค่ดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่ยังมาจาก แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์, แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมถึง หน้าต่างกระจกที่กรองแสงไม่หมด ด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับรังสี UV สะสมมากเข้าเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ผิวก็จะเริ่มแห้ง ขาดน้ำ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยในที่สุด เพราะฉะนั้น การทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวันแม้อยู่ในบ้านคือสิ่งที่ “จำเป็น” เสมอ วิธีนี้ใช้ได้ทุกวัน เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะสาวออฟฟิศที่นั่งติดกระจก หรือต้องเจอหน้าจอตลอดวัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผิวของคุณจะขอบคุณคุณในอีก 5 ปีข้างหน้าแน่นอน

Tips:

ทากันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของสกินแคร์ในตอนเช้า และหากออกแดดหรืออยู่ใกล้หน้าต่างหลายชั่วโมง แนะนำให้เติมซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมง หรือพกแบบแท่ง/แบบสเปรย์ไว้ในกระเป๋าก็จะช่วยให้ทาซ้ำได้สะดวกยิ่งขึ้น

2. ใช้เรตินอยด์ (Retinoid) ช่วยผลัดผิว

เรตินอยด์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อเรตินอล (Retinol) คือหนึ่งในส่วนผสมยอดฮิตที่หมอผิวหนังทั่วโลกยอมรับว่าช่วยลดเลือนริ้วรอยได้จริง เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า พร้อมเร่งการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวใหม่ ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงวัย 30 ขึ้นไปที่ผิวเริ่มชะลอการฟื้นฟูตัวเอง เรตินอยด์จะเข้ามาทำหน้าที่เหมือน “ฝ่ายรีโนเวตผิว” ช่วยฟื้นฟูและเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวจากภายใน เหมาะกับสาว ๆ ที่เริ่มเห็นริ้วรอยชัดบริเวณหน้าผาก ร่องแก้ม หรือรอบดวงตา แต่ยังอยากดูแลผิวแบบไม่พึ่งเข็มหรือเลเซอร์หนัก ๆ เริ่มไว เห็นผลไวแน่นอน

Tips:

เริ่มใช้เรตินอยด์จากความเข้มข้นต่ำ (เช่น 0.025% หรือ 0.3%) และใช้แค่สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง เพื่อให้ผิวได้ปรับตัว จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มความถี่ และอย่าลืมทาครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นคู่กันทุกครั้ง เพื่อป้องกันผิวแห้งหรือลอก

3. เติมความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์

หนึ่งในสาเหตุของริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เราไม่ทันตั้งตัว ก็คือ “ผิวขาดน้ำ” เพราะเมื่อผิวแห้ง ชั้นผิวจะขาดความยืดหยุ่น ทำให้เกิดร่องเล็ก ๆ ได้ง่าย และกลายเป็นริ้วรอยที่ลึกขึ้นเมื่อปล่อยไว้นาน การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกดีแต่คือการรักษาสมดุลผิวเพื่อป้องกันปัญหาริ้วรอยในระยะยาว เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องแอร์นาน ๆ หรือมีผิวขาดน้ำเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว โดยเราแนะนำให้ใช้เฉพาะสูตรที่มี กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งช่วยกักเก็บน้ำในผิวได้อย่างล้ำลึก และ วิตามินซี ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน จะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟู เรียบเนียน และเด้งแบบไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ

Tips:

ทามอยส์เจอไรเซอร์ทันทีหลังล้างหน้าในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ จะช่วยล็อกน้ำไว้ใต้ผิวได้ดีที่สุด และอย่าลืมเลือกเนื้อสัมผัสที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ เช่น เนื้อเจลสำหรับกลางวัน และเนื้อครีมเข้มข้นสำหรับกลางคืน

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอผิวใสจากภายใน

หลายคนโฟกัสแต่เรื่องครีมที่ทาภายนอกจนลืมไปว่าผิวของเราคืออวัยวะที่ต้องการน้ำไม่ต่างจากสมองหรือหัวใจ ผิวที่ขาดน้ำจะดูหมอง แห้ง ลอกง่าย และเกิดริ้วรอยเร็วกว่าผิวที่ได้รับน้ำเพียงพอ ดังนั้น การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น ส่งออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงผิวได้ดี ผิวจึงดูเปล่งปลั่งและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น วิธีนี้ เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ทำงานอยู่ในห้องแอร์ หรือมีอาการผิวลอกง่าย ผิวดูโทรมแม้จะบำรุงตลอด แค่เติมน้ำให้พอ ผิวของเราก็เปลี่ยนได้

Tips:

ตั้งเตือนในมือถือให้จิบทุกชั่วโมง หรือพกขวดน้ำลิตรเดียวติดโต๊ะทำงานเสมอ เมื่อหมดให้เติมทันที แค่นี้ก็ช่วยให้คุณรู้ตัวและดื่มได้ครบโดยไม่ต้องคอยนับ

5. เลือกกินอาหารต้านริ้วรอย

ผิวคือสิ่งที่สะท้อนจากจานอาหารที่ทาน ประโยคนี้ไม่เกินจริง เพราะอาหารที่เรากินทุกวันส่งผลต่อโครงสร้างผิวโดยตรง โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี โอเมก้า-3 และโพลีฟีนอล ที่พบได้ในผักใบเขียว ผลไม้สีสด น้ำมันดีจากอะโวคาโด ถั่ว ธัญพืช และปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งอาหารเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบในผิว เสริมความแข็งแรงของชั้นคอลลาเจน และปกป้องผิวจากมลภาวะรอบตัว ทำให้ริ้วรอยเกิดช้าลงและผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารให้ดีจึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากเริ่มดูแลผิวจากภายในแบบจริงจัง และลดพฤติกรรมการกินที่ทำร้ายผิว เช่น น้ำตาล หรือของทอดให้น้อยลงในแต่ละวัน

Tips:

เติมอาหารที่มีฤทธิ์ต้านริ้วรอยในทุกๆ มื้อ เช่น กินสลัดพร้อมน้ำมันมะกอกตอนเที่ยง หรือดื่มชาเขียวแทนกาแฟตอนบ่าย แค่เปลี่ยนนิด ผิวก็ดีขึ้นเยอะ

6. นอนหงายลดแรงกดที่ผิวหน้า

แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ ท่านอนก็มีผลต่อผิวในระยะยาวมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ที่ทำให้ผิวหน้าแนบกับหมอนซ้ำ ๆ ทุกคืน เกิดแรงกดที่ไม่สมดุล ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเฉพาะจุด เช่น รอยพับแก้ม หรือร่องข้างจมูกแบบที่ไม่ใช่จากอายุโดยตรง แต่จาก แรงกดซ้ำสะสมเป็นปี ๆ การเปลี่ยนมานอนหงายจึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดการกดทับของผิวโดยตรง ทำให้ผิวหน้าได้พักผ่อนเต็มที่ และไม่โดนบีบอัดจากแรงโน้มถ่วงข้างใดข้างหนึ่ง เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ตื่นมาแล้วมักเห็นรอยย่นข้างแก้ม หรือรู้สึกว่าผิวเริ่มเสียสมดุลโดยไม่รู้สาเหตุ

Tips:

ใช้หมอนข้างวางไว้สองข้างเพื่อพยุงร่างกายไม่ให้พลิกขณะนอน และเลือกใช้ปลอกหมอนผ้าไหมหรือผ้าซาตินที่ช่วยลดแรงเสียดสีได้มากกว่าผ้าฝ้ายธรรมดา ผิวหน้าจะรู้สึกนุ่มนวลขึ้นทันทีตั้งแต่คืนแรก

7. หยุดสูบบุหรี่ช่วยได้

การสูบบุหรี่ไม่เพียงทำลายสุขภาพภายใน แต่ยังทำลายความงามภายนอกอย่างตรงจุด เพราะสารในบุหรี่ เช่น นิโคติน จะทำให้หลอดเลือดหดตัว การไหลเวียนของเลือดลดลง ส่งผลให้ผิวไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหารเท่าที่ควร ผิวจึงหมอง เหี่ยวย่น และขาดความกระชับอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะรอบปากและใต้ตา นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังลดประสิทธิภาพของคอลลาเจนในผิวโดยตรง ทำให้ผิวอ่อนแอ เสื่อมสภาพเร็ว และเกิดริ้วรอยลึกเร็วกว่าคนไม่สูบถึง 2 เท่า เหมาะสำหรับใครที่อยากฟื้นฟูผิวอย่างยั่งยืนในระยะยาวแบบเห็นผลจริง

Tips:

หากเลิกไม่ได้ทันที ลองเริ่มจากการลดจำนวนการสูบในแต่ละวัน พร้อมจดบันทึกเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นผลที่ดีขึ้นกับผิว นั่นอาจเป็นแรงใจที่ทำให้คุณเลิกได้สำเร็จ

8. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้าเสมอ

หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายผิวตัวเองจากอารมณ์ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้วเวลาคิดงาน ย่นหน้าผากตอนเคร่งเครียด หรือเม้มปากตอนหงุดหงิด พฤติกรรมเหล่านี้แม้จะเกิดขึ้นแค่ไม่กี่วินาที แต่เมื่อทำซ้ำบ่อย ๆ กลับสร้าง ร่องรอยถาวรให้กับผิวในระยะยาว การฝึกสติรู้ตัวเมื่อตึงเครียด หรือการใช้เทคนิคผ่อนคลายง่าย ๆ อย่างการหายใจลึก โยคะเบา ๆ หรือเปิดเพลงชิลล์ระหว่างทำงาน จึงกลายเป็นตัวช่วยชะลอวัยทางอ้อมที่ได้ผลแบบคาดไม่ถึง เหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องรับแรงกดดันจากงานหรืออารมณ์บ่อย ๆ

Tips:

 ลองติดโพสต์อิทเล็ก ๆ บนมุมจอคอมที่เขียนว่า “ผ่อนคลายใบหน้า” หรือ “ยิ้มไว้” เพื่อเตือนตัวเองระหว่างวัน แล้วคุณจะพบว่าแค่ยิ้มมากขึ้น ผิวก็ดูสดใสขึ้นโดยไม่ต้องใช้ครีมแพงเลยด้วยซ้ำ

9. ลดน้ำตาล

รู้ไหมว่าน้ำตาลที่เรากินในขนมหวาน ชานม หรือขนมกรุบกรอบ ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องน้ำหนัก แต่ยังทำให้ คอลลาเจนในผิวเสื่อมเร็วขึ้นผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Glycation ซึ่งทำให้เส้นใยคอลลาเจนแข็งตัว ขาดความยืดหยุ่น และเกิดเป็นริ้วรอยที่แก้ยากที่สุดในระยะยาว ดังนั้น การลดน้ำตาลและเลือกกินของหวานจากธรรมชาติจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผิวหน้าไม่แก่ก่อนวัย แถมยังส่งผลดีกับสุขภาพโดยรวม เหมาะกับสาวสายหวานที่อยากหวานโดยเลือกทานสิ่งที่ดีให้กับร่างกายให้ถี่ถ้วนมากขึ้น

Tips:

เปลี่ยนขนมระหว่างวันจากเค้กหรือคุกกี้ เป็นผลไม้สด หญ้าหวาน หรือโยเกิร์ตสูตรน้ำตาลต่ำ แล้วลองสังเกตผิวดูใน 1 เดือน…คุณอาจประหลาดใจว่าริ้วรอยบางจุดดูจางลงอย่างชัดเจน

10. ล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนทุกคืน

ข้อสุดท้ายแต่สำคัญที่สุดคือ ล้างหน้าบ่อย ๆ เพราะต่อให้คุณใช้สกินแคร์ดีแค่ไหน ถ้าผิวไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง สิ่งสกปรกที่สะสมตลอดวันก็จะซึมลงสู่ผิวและสร้างความเสียหายแบบเงียบ ๆ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5, เมคอัพ, เหงื่อ, และน้ำมันส่วนเกิน ที่อาจกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ โดยการล้างหน้าอย่างเบามือด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน และไม่ขัดถูผิวแรง ๆ จะช่วยคงสมดุลผิวและปกป้องปราการธรรมชาติของผิวไว้ได้ดีที่สุด เหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะสาวเมืองที่ต้องเจอมลภาวะทุกวัน

Tips:

ใช้คลีนซิ่งสูตรน้ำหรือน้ำนมลบเครื่องสำอางก่อน แล้วตามด้วยเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน และปิดท้ายด้วยน้ำเย็นเล็กน้อยกระชับรูขุมขน แล้วคุณจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ ผิวได้พักเต็มที่ พร้อมฟื้นฟูในตอนกลางคืน

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

สุทธวดี สุขเจริญสิน

Sutawadee Sukcharoensin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine, Orthopaedic