Search
Close this search box.

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร? ส่งผลดีต่อลำไส้จริงไหม

2 นาที

18/09/2024

แชร์เนื้อหา:

แพ็คเกจที่คุณอาจสนใจ

ปกติ 24,820 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท

ปกติ 28,500 บาท ลดเหลือ 17,500 บาท

ปกติ 16,500 บาท ลดเหลือ 9,900 บาท

ในโลกแห่งการดูแลสุขภาพยุคใหม่ คำว่า “โพรไบโอติกส์” (Probiotics) กลายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจุลินทรีย์เล็กๆ เหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพของเรา? ในบทความนี้ Welida Health จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์ของโพรไบโอติกส์ ไขความลับว่าทำไมมันถึงส่งผลดีต่อลำไส้และร่างกายของเรา พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร?

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค นิยามนี้ถูกกำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในปี 2001 แต่ความจริงแล้ว มนุษย์เราได้บริโภคและได้รับประโยชน์จากโพรไบโอติกส์มาเป็นเวลานานแล้ว ผ่านอาหารหมักดองต่างๆ โพรไบโอติกส์คือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม สามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยทั่วไปแล้วจะพบในอาหารที่ผ่านการหมัก เช่น โยเกิร์ต และเครื่องดื่มเฟอร์เมนต์บางชนิด โพรไบโอติกส์ช่วยในการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งสามารถช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้

แหล่งของโพรไบโอติกส์

แหล่งของโพรไบโอติกส์

เราสามารถได้รับโพรไบโอติกส์ได้จากแหล่งต่างๆ ดังนี้:

  1. อาหารหมัก: เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ คอมบูชา
  2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: มีจำหน่ายในรูปแบบแคปซูล ผง หรือของเหลว
  3. อาหารที่เสริมโพรไบโอติกส์: เช่น นมหมักที่เสริมโพรไบโอติกส์ ซีเรียลบางชนิด

ประเภทของโพรไบโอติก

โพรไบโอติกประกอบด้วยแบคทีเรียหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มาจากสองกลุ่มหลัก คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกชนิดที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด

  1. แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) นี่อาจเป็นโพรไบโอติกที่พบได้บ่อยที่สุด คุณจะพบมันในโยเกิร์ตและอาหารหมักอื่นๆ แบคทีเรียสายพันธุ์นี้มีหลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและอาจช่วยผู้ที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้
  2. บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) คุณสามารถพบแบคทีเรียชนิดนี้ในผลิตภัณฑ์นมบางชนิด มันอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และอาการอื่นๆ บางอย่างได้
  3. ยีสต์แซคคาโรไมซีส บูลาร์ดิไอ (Saccharomyces boulardii) นี่เป็นยีสต์ชนิดหนึ่งที่พบในโพรไบโอติก ดูเหมือนว่าจะช่วยต่อสู้กับอาการท้องเสียและปัญหาระบบย่อยอาหารอื่นๆ ได้

โพรไบโอติกทำงานอย่างไร?

โพรไบโอติกเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะในลำไส้และบริเวณอื่นๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับชุมชนจุลินทรีย์ที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันและแก้ไขภาวะไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย เมื่อโพรไบโอติกทำงานได้ผล จุลินทรีย์เหล่านี้จะเข้าไปอยู่อาศัยและเพิ่มจำนวนประชากรในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม โพรไบโอติกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน จุลินทรีย์ต่างสายพันธุ์ทำงานในร่างกายไม่เหมือนกัน ดังนั้นบางชนิดอาจเหมาะหรือไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคน ที่สำคัญคือโพรไบโอติกไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ FDA ทำให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องพิสูจน์คุณภาพหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อเลือกโพรไบโอติกที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

โพรไบโอติกส์มีผลดีต่อลำไส้หลายประการ:

  1. ป้องกันและรักษาอาการท้องเสีย: โพรไบโอติกส์สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการท้องเสียได้ โดยเฉพาะอาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ
  2. บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน: การรับประทานโพรไบโอติกส์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ได้
  3. ป้องกันและรักษาโรคลำไส้อักเสบ: มีหลักฐานว่าโพรไบโอติกส์บางชนิดสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังได้
  4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้: โพรไบโอติกส์ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในลำไส้ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
  5. ลดอาการแพ้อาหาร: บางการศึกษาพบว่าโพรไบโอติกส์อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการแพ้อาหารบางชนิดได้

ความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงของโพรไบโอติก

แม้จะมีการวิจัยเฉพาะด้านความปลอดภัยของโพรไบโอติกไม่มากนัก แต่โดยทั่วไปแล้วถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง โพรไบโอติกมีประวัติการใช้อย่างแพร่หลายและสม่ำเสมอในสาธารณะมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยของผลข้างเคียงในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยวิกฤต และทารกที่คลอดก่อนกำหนด

ความเสี่ยงหลักคือผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกอาจมีเชื้อที่เป็นอันตรายปนอยู่กับเชื้อที่มีประโยชน์ เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดเล็กมาก จึงเป็นไปได้ที่เชื้อที่ไม่พึงประสงค์อาจปนเข้ามาหากผลิตภัณฑ์ไม่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด แม้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นน้อยและไม่ใช่ความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสามารถกำจัดเชื้อเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้

บทสรุป

โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้ การรับประทานโพรไบโอติกส์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยบรรเทาอาการของโรคทางเดินอาหารบางชนิดได้

อย่างไรก็ตาม การใช้โพรไบโอติกส์ควรทำด้วยความระมัดระวัง และควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเริ่มใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ หรือกำลังรับประทานยาอยู่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลสุขภาพโดยรวม ร่วมกับการใช้โพรไบโอติกส์อย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณมีสุขภาพลำไส้ที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

คำถามที่พบบ่อย

A1: คุณสามารถสังเกตได้จาก:

  • การเปลี่ยนแปลงของอาการที่ต้องการบรรเทา เช่น การขับถ่ายดีขึ้น หรืออาการท้องเสียลดลง
  • ควรใช้อย่างสม่ำเสมอและตามขนาดที่แนะนำเพื่อประเมินผลได้ชัดเจน
  • ผลการป้องกันอาจสังเกตได้ยากกว่า เช่น การเจ็บป่วยน้อยลงในช่วงไข้หวัดใหญ่
  • ในระยะยาว โพรไบโอติกควรช่วยปรับปรุงสุขภาพลำไส้โดยรวม
  • ในระยะสั้น อาจมีอาการไม่พึงประสงค์ชั่วคราว เช่น ท้องเสีย ท้องอืด แก๊ส โดยเฉพาะเมื่อเริ่มใช้
  • อาการเหล่านี้มักหายไปภายในไม่กี่วัน หากยังคงมีอาการควรปรึกษาแพทย์
  • สามารถได้รับจากอาหารเสริมหรืออาหารและเครื่องดื่มหมัก
  • อาหารธรรมชาติช่วยส่งเสริมความหลากหลายของจุลินทรีย์และอาจมีพรีไบโอติกร่วมด้วย
  • ผลิตภัณฑ์เสริมมักมีปริมาณโพรไบโอติกสูงกว่าและเหมาะสำหรับการรักษาปัญหาเฉพาะ
  • ควรใช้ตามคำแนะนำบนฉลากหรือคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยระบบย่อยอาหาร
  • บรรเทาอาการท้องเสียและท้องผูก
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังบางชนิด
  • มีผลดีต่อสุขภาพจิต เช่น ลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล
  • ตอนเช้าก่อนอาหารเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะกระเพาะว่างและมีความเป็นกรดน้อย
  • กินพร้อมหรือหลังอาหารทันทีหากต้องการช่วยย่อยอาหาร
  • ก่อนนอนอาจเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาท้องเสียหรือท้องผูก
  • สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการรับประทาน
  • รักษาสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ป้องกันการติดเชื้อ
  • อาจช่วยบรรเทาอาการ PMS และอาการในวัยทอง
  • ช่วยดูแลผิวพรรณโดยลดการอักเสบ
  • อาจช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้


บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

จีณณ์ ตันติพรสิน

Jene Tantipornsin

ประวัติการศึกษา

Master's degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor's degree : Faculty of Medicine,Lerdsin hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology

บทความที่น่าสนใจ