ปากกาลดน้ำหนักกำลังได้รับความสนใจในวงกว้าง เนื่องจากเป็นเครื่องมือช่วยควบคุมความอยากอาหารและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในยาที่นิยมใช้คือ ลิรากลูไทด์ (Liraglutide) ซึ่งบรรจุอยู่ในอุปกรณ์ฉีดยาที่มีลักษณะคล้ายปากกา ยานี้ช่วยปรับระบบการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะสมอง ทำให้รู้สึกหิวน้อยลงและอิ่มนานขึ้น จึงช่วยให้สามารถควบคุมการรับประทานอาหารและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปากกาลดน้ำหนักปลอดภัยจริงไหม และมันทำงานอย่างไร? เราจะมาตอบคำถามยอดนิยมที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับปากกาลดน้ำหนักนี้
ปากกาลดน้ำหนักคืออะไร?
ปากกาลดน้ำหนักเป็นอุปกรณ์ฉีดยาที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยควบคุมความหิวและส่งเสริมการลดน้ำหนัก โดยสารที่ใช้ในปากกาลดน้ำหนักมักเป็นยาประเภท GLP-1 receptor agonists เช่น ลิรากลูไทด์ (Liraglutide) และ เซมาลกลูไทด์ (Semaglutide) ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ที่ร่างกายสร้างขึ้น ฮอร์โมน GLP-1 มีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการตอบสนองของระบบย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วและนานขึ้น
เซมาลกลูไทด์ เช่น Ozempic เป็นหนึ่งในยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) สำหรับการลดน้ำหนักในผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน และยังใช้ในการรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 อีกด้วย
การนำยากลุ่มนี้มาใช้ในการลดน้ำหนักเป็นการต่อยอดจากการรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งได้พบว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยานี้มีการลดน้ำหนักที่เห็นผลชัดเจน
วิธีเช็คเครื่องคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินภาวะน้ำหนักตัวของบุคคล โดยคำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง การเช็คความถูกต้องของเครื่องคำนวณ BMI เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความแม่นยำ ต่อไปนี้เป็นวิธีการเช็คเครื่องคำนวณ BMI
ประเภทของปากกาลดน้ำหนัก
ในปัจจุบัน มีปากกาลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมสองชนิดหลัก ได้แก่:
- Saxenda (Liraglutide): ต้องฉีดทุกวัน การใช้ Saxenda เป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนโดยการควบคุมการกินผ่านการกระตุ้น GLP-1 Saxenda เป็นยาที่มีการรับรองจาก FDA และได้รับการวิจัยว่าได้ผลจริงในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ผู้ใช้ Saxenda ที่ร่วมมือกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายสามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการรักษานี้ต้องใช้เวลาและการควบคุมตลอดระยะเวลา
- Ozempic (Semaglutide): ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและไม่ต้องการฉีดยาบ่อยๆ ทั้งยังมีผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดควบคู่ไปด้วย การฉีด Ozempic ควรทำในวันเดียวกันของสัปดาห์ทุกสัปดาห์ เช่น ถ้าฉีดในวันจันทร์ ก็ควรฉีดทุกวันจันทร์ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด Ozempic เป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัท Novo Nordisk ซึ่งเป็นบริษัทด้านเภสัชกรรมที่มีชื่อเสียงจากประเทศเดนมาร์ก ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการรับรองในหลายประเทศทั่วโลกและมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์
ปากกาลดน้ำหนักทำงานอย่างไร
ปากกาลดน้ำหนักทำงานโดยการปล่อยสาร GLP-1 ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการรับประทานอาหาร ฮอร์โมนนี้จะส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อบอกให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการย่อยอาหารในกระเพาะ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
ผลลัพธ์คือ การรับประทานอาหารน้อยลง และน้ำหนักตัวลดลงได้อย่างเป็นธรรมชาติเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ปากกาลดน้ำหนักแต่ละด้ามสามารถใช้งานได้นาน 1-2 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณการฉีดที่แพทย์แนะนำ โดยปริมาณการฉีดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน หากเริ่มต้นด้วยปริมาณต่ำอาจสามารถใช้ได้ถึง 30 วัน แต่หากต้องเพิ่มปริมาณในช่วงท้ายของการใช้ ยาจะหมดเร็วขึ้น
ควรฉีดปากกาลดน้ำหนักเวลาไหน
การฉีดปากกาลดน้ำหนักควรทำเป็นประจำทุกวันในเวลาเดียวกัน โดยแพทย์มักจะแนะนำให้ฉีดก่อนอาหารมื้อแรกของวัน เนื่องจากจะช่วยควบคุมความอยากอาหารตลอดวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บางรายอาจเลือกฉีดในช่วงเวลาอื่นของวันได้ตามความสะดวก แต่ควรฉีดในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละวันเพื่อให้ผลลัพธ์ของยาคงที่
ปากกาลดน้ำหนักราคาประมาณเท่าไหร่?
ราคาของปากกาลดน้ำหนักขึ้นอยู่กับสถานที่ซื้อ โดยปกติราคาจะอยู่ในช่วง 5,000 ถึง 15,000 บาทต่อด้าม ขึ้นอยู่กับชนิดของปากกาและปริมาณการฉีดที่แพทย์แนะนำ หรือปากกาลดน้ำหนักฉีดอาทิตย์ละครั้ง การเลือกซื้อจากร้านขายยาหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัย จากการทดลองพบว่า ผู้ที่ใช้ปากกาลดน้ำหนักสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 5-10% ของน้ำหนักตัวภายใน 6 เดือนหากใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับการใช้อย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ปากกาลดน้ำหนักยี่ห้อไหนดี?
1. Saxenda (Liraglutide)
- ราคา: ประมาณ 8,000 – 12,000 บาทต่อกล่อง (1 กล่องใช้ได้ประมาณ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด)
- ข้อดี:
- ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานประเภท 2
- ใช้ง่าย ฉีดเพียงวันละ 1 ครั้ง
- ข้อเสีย:
- มีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสีย โดยเฉพาะช่วงแรกที่เริ่มใช้ยา
- ราคาแพงและต้องใช้ต่อเนื่องเพื่อให้เห็นผล
- ต้องได้รับการจ่ายยาจากแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อได้เอง
2. Wegovy (Semaglutide)
- ราคา: ประมาณ 9,000 – 15,000 บาทต่อกล่อง (ใช้ได้ประมาณ 1 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด)
- ข้อดี:
- ผลลัพธ์ในการลดน้ำหนักชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
- มีความสะดวกในการใช้ ฉีดเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งเท่านั้น
- มีการศึกษาทางคลินิกยืนยันประสิทธิภาพในการลดน้ำหนัก
- ข้อเสีย:
- ผลข้างเคียงคล้าย Saxenda เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางตับได้ในบางกรณี
- ราคาสูงกว่าปากกาลดน้ำหนักยี่ห้ออื่น ๆ
- ต้องได้รับการสั่งยาจากแพทย์
3. Ozempic (Semaglutide)
- ราคา: ประมาณ 7,000 – 10,000 บาทต่อกล่อง (1 กล่องใช้ได้ประมาณ 1 เดือน)
- ข้อดี:
- ช่วยควบคุมเบาหวานประเภท 2 และสามารถลดน้ำหนักได้ในเวลาเดียวกัน
- ใช้เพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการฉีดบ่อย
- มีการศึกษาทางคลินิกที่สนับสนุนประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักและควบคุมระดับน้ำตาล
- ข้อเสีย:
- ผลข้างเคียงเช่นเดียวกับปากกาอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
- ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาในกลุ่ม GLP-1 receptor agonists
- การใช้งานต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย
สรุป
ปากกาลดน้ำหนักเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยควบคุมความหิวและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน แต่การใช้ปากกาลดน้ำหนักต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจใช้ รวมถึงคำนึงถึงผลข้างเคียงและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น