Search
Close this search box.

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง คืออะไร? ต้องตรวจเมื่อไหร่ และควรตรวจอะไรบ้าง

2 นาที

24/09/2024

แชร์เนื้อหา:

แพ็คเกจที่คุณอาจสนใจ

ปกติ 24,820 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท

ปกติ 28,500 บาท ลดเหลือ 17,500 บาท

ปกติ 16,500 บาท ลดเหลือ 9,900 บาท

ในโลกของการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ การตรวจฮอร์โมนเพศหญิงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินและรักษาสุขภาพของผู้หญิง ฮอร์โมนเป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบสืบพันธุ์ การเข้าใจถึงความสำคัญของฮอร์โมนและวิธีการตรวจวัดระดับฮอร์โมนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกวัย

บทความนี้ Welida Health จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการตรวจฮอร์โมนเพศหญิงอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ ไปจนถึงวิธีการเตรียมตัวและการดูแลตนเองหลังการตรวจ เพื่อให้คุณมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง คืออะไร?

ตรวจฮอร์โมนเพศหญิง คืออะไร?

การตรวจฮอร์โมนเพศหญิง คือ กระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้วัดระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายของผู้หญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์และการทำงานของอวัยวะต่างๆ การตรวจนี้มักทำผ่านการเก็บตัวอย่างเลือด ปัสสาวะ หรือน้ำลาย ขึ้นอยู่กับชนิดของฮอร์โมนที่ต้องการตรวจและวัตถุประสงค์ของการตรวจ

ฮอร์โมนหลักที่มักได้รับการตรวจวัดในผู้หญิง ได้แก่:

  • เอสโตรเจน (Estrogen): ฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและรักษาลักษณะทางเพศหญิง ควบคุมรอบเดือน และมีส่วนในการรักษาความแข็งแรงของกระดูก
  • โปรเจสเตอโรน (Progesterone): ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์และการรักษาการตั้งครรภ์ในช่วงแรก
  • ฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ (Follicle Stimulating Hormone – FSH): ฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่และมีบทบาทในการผลิตเอสโตรเจน
  • ฮอร์โมนลูทิไนซิ่ง (Luteinizing Hormone – LH): ฮอร์โมนที่กระตุ้นการตกไข่และมีส่วนในการผลิตฮอร์โมนเพศ
  • โปรแลคติน (Prolactin): ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำนมและการให้นมบุตร
  • เทสโทสเตอโรน (Testosterone): แม้จะเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ผู้หญิงก็ผลิตฮอร์โมนนี้ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งมีผลต่อความต้องการทางเพศและมวลกล้ามเนื้อ

    จะรู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนไม่ปกติ?

    การรู้ว่าฮอร์โมนไม่ปกติอาจสังเกตได้จากอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่อาจบ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนในผู้หญิง ได้แก่:

    ความผิดปกติของรอบเดือน:

    • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
    • ประจำเดือนมามากหรือน้อยผิดปกติ
    • ขาดประจำเดือน
    • ปวดประจำเดือนรุนแรงผิดปกติ

    อาการร้อนวูบวาบ (Hot flashes) และเหงื่อออกตอนกลางคืน:

    • รู้สึกร้อนอย่างฉับพลันโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า คอ และหน้าอก
    • เหงื่อออกมากในเวลากลางคืน ทำให้นอนไม่หลับ

    น้ำหนักเปลี่ยนแปลง:

    • น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
    • มีการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องมากขึ้น

    ความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลง:

    • ลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
    • มีปัญหาเกี่ยวกับการหล่อลื่นช่องคลอด

    ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ:

    • นอนไม่หลับ
    • หลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน
    • รู้สึกเหนื่อยล้าแม้จะนอนเต็มที่แล้ว

    อารมณ์แปรปรวน:

    • หงุดหงิดง่าย
    • ซึมเศร้า
    • วิตกกังวลมากกว่าปกติ
    • อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

    การเปลี่ยนแปลงของผิวและเส้นผม:

    • ผิวแห้ง คัน หรือบอบบางลง
    • ผมร่วงมากกว่าปกติ
    • ขนที่ใบหน้าหรือลำตัวเพิ่มขึ้น

    ปวดเต้านม หรือเต้านมอ่อนนุ่มผิดปกติ:

    • เต้านมคัดตึงหรือเจ็บแม้ไม่ได้อยู่ในช่วงมีประจำเดือน
    • ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลง

    ภาวะมีบุตรยาก:

    • พยายามมีบุตรมานานกว่า 1 ปีแต่ไม่สำเร็จ
    • มีการแท้งบุตรซ้ำ

    ปัญหาสมาธิหรือความจำ:

    • ลืมง่ายกว่าปกติ
    • มีปัญหาในการจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมต่างๆ

    ปัญหาเกี่ยวกับกระดูก:

    • กระดูกเปราะบางหรือหักง่าย
    • ปวดข้อหรือกระดูกโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน

    การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร:

    • ท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อยครั้ง
    • ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อยกว่าปกติ

    หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจฮอร์โมนอาจเป็นหนึ่งในวิธีที่แพทย์ใช้เพื่อหาสาเหตุของอาการเหล่านี้

    ใครบ้างที่ควรตรวจวัดระดับฮอร์โมน?

    ใครบ้างที่ควรตรวจวัดระดับฮอร์โมน?

    การตรวจวัดระดับฮอร์โมนอาจแนะนำสำหรับผู้หญิงในหลายกรณี ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง:

    1. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือขาดประจำเดือน
    2. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ หรือภาวะมีบุตรยาก
    3. ผู้ที่มีอาการของภาวะหมดประจำเดือน (Menopause)
    4. ผู้ที่มีอาการของโรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์
    5. ผู้ที่มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
    6. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ
    7. ผู้ที่มีอาการของภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
    8. ผู้ที่กำลังรับการรักษาด้วยฮอร์โมนทดแทน
    9. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับฮอร์โมน
    10. ผู้ที่มีอาการผิดปกติที่อาจเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของฮอร์โมน

    ตรวจฮอร์โมน ตรวจอะไรบ้าง

    การตรวจฮอร์โมนในผู้หญิงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครอบคลุมฮอร์โมนหลายชนิดที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกาย โดยทั่วไป การตรวจฮอร์โมนจะรวมถึงฮอร์โมนต่อไปนี้:

    1. เอสโตรเจน (Estrogen) เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่สำคัญที่สุด มีหน้าที่หลักดังนี้:

    • พัฒนาและรักษาลักษณะทางเพศหญิง เช่น การเจริญเติบโตของเต้านม และการกระจายไขมันตามร่างกาย
    • ควบคุมรอบเดือนและการตกไข่ โดยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกและช่วยในการปล่อยไข่
    • ช่วยรักษาความแข็งแรงของกระดูก โดยช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและป้องกันการสลายตัวของมวลกระดูก
    • มีบทบาทในการรักษาสุขภาพของผิวหนังและเส้นผม

    การตรวจวัดระดับเอสโตรเจนสามารถช่วยในการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์ ความผิดปกติของรอบเดือน และภาวะหมดประจำเดือน

    2. โปรเจสเตอโรน (Progesterone) โปรเจสเตอโรนเป็นฮอร์โมนที่ทำงานร่วมกับเอสโตรเจน มีหน้าที่สำคัญดังนี้:

    • เตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์ โดยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
    • ช่วยรักษาการตั้งครรภ์ในช่วงแรก โดยสนับสนุนการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและป้องกันการหดตัวของมดลูก
    • มีผลต่อการหลั่งน้ำนม โดยช่วยในการพัฒนาต่อมน้ำนมระหว่างการตั้งครรภ์
    • ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกายและอาจมีผลต่อการนอนหลับ

    การตรวจวัดระดับโปรเจสเตอโรนมักใช้ในการประเมินภาวะการตกไข่ การวินิจฉัยปัญหาการตั้งครรภ์ และการตรวจสอบความผิดปกติของรอบเดือน

    3. ฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ (Follicle Stimulating Hormone – FSH) FSH เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมใต้สมอง มีบทบาทสำคัญดังนี้:

    • กระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนาการของไข่ในรังไข่ ทำให้เกิดการตกไข่ในแต่ละรอบเดือน
    • มีบทบาทในการผลิตเอสโตรเจน โดยกระตุ้นเซลล์ในรังไข่ให้ผลิตเอสโตรเจน
    • ในผู้ชาย FSH มีบทบาทในการกระตุ้นการผลิตสเปิร์ม

    การตรวจวัดระดับ FSH มักใช้ในการประเมินภาวะเจริญพันธุ์ การวินิจฉัยภาวะหมดประจำเดือน และการตรวจสอบการทำงานของต่อมใต้สมอง

    4. ฮอร์โมนลูทิไนซิ่ง (Luteinizing Hormone – LH) LH เป็นอีกหนึ่งฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมใต้สมอง มีหน้าที่สำคัญดังนี้:

    • กระตุ้นการตกไข่ โดยทำให้ไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่หลุดออกจากรังไข่
    • มีส่วนในการผลิตฮอร์โมนเพศ โดยกระตุ้นการผลิตเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนหลังการตกไข่
    • ในผู้ชาย LH กระตุ้นการผลิตเทสโทสเตอโรน

    การตรวจวัดระดับ LH มักใช้ร่วมกับ FSH ในการประเมินภาวะการตกไข่ การวินิจฉัยภาวะหมดประจำเดือน และการตรวจสอบความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์

    5. โปรแลคติน (Prolactin) โปรแลคตินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมใต้สมอง มีบทบาทสำคัญดังนี้:

    • กระตุ้นการผลิตน้ำนมหลังคลอด ทำให้เกิดการหลั่งน้ำนมเพื่อเลี้ยงทารก
    • มีผลต่อการทำงานของรังไข่ โดยอาจยับยั้งการตกไข่และการผลิตฮอร์โมนเพศอื่นๆ
    • อาจมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญพลังงาน

    การตรวจวัดระดับโปรแลคตินมักใช้ในการวินิจฉัยปัญหาการมีบุตรยาก ความผิดปกติของรอบเดือน และการตรวจหาเนื้องอกของต่อมใต้สมอง

    6. เทสโทสเตอโรน (Testosterone) แม้จะเป็นฮอร์โมนเพศชายหลัก แต่ผู้หญิงก็ผลิตเทสโทสเตอโรนในปริมาณน้อย มีบทบาทดังนี้:

    • มีผลต่อความต้องการทางเพศ โดยช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศในผู้หญิง
    • ช่วยในการสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ
    • มีส่วนในการผลิตเม็ดเลือดแดง
    • อาจมีผลต่อสุขภาพกระดูกและการกระจายไขมันในร่างกาย

    การตรวจวัดระดับเทสโทสเตอโรนในผู้หญิงอาจใช้ในการวินิจฉัยภาวะฮอร์โมนเพศชายสูงผิดปกติ เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

    7. ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid hormones) ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ T3 (Triiodothyronine) และ T4 (Thyroxine) มีบทบาทสำคัญดังนี้:

    • ควบคุมการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ส่งผลต่อน้ำหนักตัวและระดับพลังงาน
    • มีผลต่อรอบเดือนและภาวะเจริญพันธุ์ โดยความผิดปกติของไทรอยด์อาจส่งผลต่อการตกไข่และการตั้งครรภ์
    • ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและการทำงานของระบบประสาท
    • มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย

    การตรวจวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์มักใช้ในการวินิจฉัยโรคไทรอยด์ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ

    8. คอร์ติซอล (Cortisol) คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมหมวกไต มักเรียกว่า “ฮอร์โมนความเครียด” มีบทบาทสำคัญดังนี้:

    • ควบคุมการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย
    • มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยช่วยควบคุมการอักเสบ
    • ควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
    • มีส่วนในการควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด

    การตรวจวัดระดับคอร์ติซอลอาจใช้ในการวินิจฉัยโรคของต่อมหมวกไต เช่น โรคคุชชิ่ง หรือภาวะต่อมหมวกไตทำงานต่ำ

    9. ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมไพเนียลในสมอง มีบทบาทสำคัญดังนี้:

    • ควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น (Circadian rhythm)
    • อาจมีผลต่อรอบเดือน โดยมีการศึกษาพบว่าเมลาโทนินอาจมีส่วนในการควบคุมการตกไข่และการทำงานของรังไข่
    • มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยป้องกันเซลล์จากความเสียหาย

    การตรวจวัดระดับเมลาโทนินอาจใช้ในการประเมินปัญหาการนอนหลับหรือความผิดปกติของวงจรการนอน

    ตรวจฮอร์โมนราคากี่บาท

    ตรวจฮอร์โมนราคากี่บาท

    ที่ Welida Health เราเสนอแพ็คเกจการตรวจฮอร์โมนที่ครอบคลุมในราคา 7,200 บาท ซึ่งรวมการตรวจฮอร์โมนทั้ง 8 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้น ราคานี้คุ้มค่าเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการประเมินสุขภาพฮอร์โมนอย่างครอบคลุม

    1. DHEAs (Dehydroepiandrosterone sulfate): ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตที่มีบทบาทในการควบคุมการผลิตฮอร์โมนเพศต่างๆ
    2. FSH (Follicle Stimulating Hormone): ฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ในรังไข่
    3. LH (Luteinizing Hormone): ฮอร์โมนที่กระตุ้นการตกไข่
    4. Estradiol: รูปแบบหนึ่งของเอสโตรเจนที่มีความสำคัญมากที่สุดในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
    5. Progesterone: ฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการเตรียมมดลูกสำหรับการตั้งครรภ์
    6. SHBG (Sex Hormone Binding Globulin): โปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศ ช่วยควบคุมปริมาณฮอร์โมนเพศที่ใช้งานได้ในร่างกาย
    7. IGF1 (Insulin-like Growth Factor 1): ฮอร์โมนเจริญเติบโตที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย
    8. IGFBP3 (Insulin-like Growth Factor Binding Protein 3): โปรตีนที่จับกับ IGF1 ช่วยควบคุมการทำงานของ IGF1 ในร่างกาย

    วิธีการเตรียมตัวก่อนไปตรวจฮอร์โมน

    การเตรียมตัวที่ดีก่อนการตรวจฮอร์โมนช่วยให้ผลการตรวจแม่นยำและน่าเชื่อถือ เริ่มจากการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากบางชนิดอาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมน

    โดยทั่วไป ควรงดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) 8-12 ชั่วโมงก่อนการตรวจเลือด แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการตรวจ

    การพักผ่อนให้เพียงพอและการจัดการความเครียดก็สำคัญ เพราะสามารถส่งผลต่อระดับฮอร์โมนบางชนิด สำหรับผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือน ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด เพื่อให้แพทย์สามารถนัดตรวจในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    สุดท้าย ควรเตรียมข้อมูลสุขภาพของตนเองและครอบครัว รวมถึงอาการผิดปกติที่สังเกตเห็น และคำถามที่อยากถามแพทย์ การเตรียมตัวเหล่านี้จะช่วยให้การตรวจฮอร์โมนมีประสิทธิภาพและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการวินิจฉัยและการรักษา

    วิธีดูแลตนเองหลังจากไปตรวจฮอร์โมน

    หลังจากตรวจฮอร์โมน สิ่งสำคัญคือการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพอในวันที่ตรวจ เนื่องจากการเจาะเลือดอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากการงดน้ำและอาหารก่อนตรวจ และช่วยฟื้นฟูร่างกาย หากมีอาการปวดหรือช้ำตรงบริเวณที่เจาะเลือด สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้

    ในช่วงรอผลตรวจ ควรดำเนินชีวิตตามปกติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายพอประมาณ และพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการเครียดหรือกังวลเกี่ยวกับผลตรวจมากเกินไป เมื่อได้รับผลตรวจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อแปลผลและรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่อไป ไม่ควรตีความผลตรวจเองหรือปรับเปลี่ยนการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การดูแลตนเองที่ดีและการติดตามผลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด

    บทสรุป

    การตรวจฮอร์โมนเพศหญิงเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินและดูแลสุขภาพของผู้หญิง ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของฮอร์โมน การตรวจนี้ครอบคลุมฮอร์โมนหลายชนิด เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน FSH LH และอื่นๆ ซึ่งแต่ละชนิดมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานของร่างกาย

    ผู้หญิงควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมน และปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย การเตรียมตัวที่ดีก่อนการตรวจและการดูแลตนเองหลังการตรวจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

    การตรวจฮอร์โมนไม่ใช่เพียงการวินิจฉัยโรค แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ช่วยให้ผู้หญิงสามารถเข้าใจและจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพฮอร์โมน

    คำถามที่พบบ่อย

    A: โดยทั่วไป ควรงดน้ำและอาหาร (ยกเว้นน้ำเปล่า) 8-12 ชั่วโมงก่อนการตรวจ แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการตรวจฮอร์โมนบางชนิดอาจไม่จำเป็นต้องงดอาหาร

    A: ที่ Welida Health เราตรวจฮอร์โมน 8 ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ DHEAs, FSH, LH, Estradiol, Progesterone, SHBG, IGF1 และ IGFBP3 ซึ่งให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสุขภาพฮอร์โมนของคุณ

    A: ยาคุมกำเนิดสามารถส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นควรแจ้งแพทย์หากคุณกำลังใช้ยาคุมกำเนิดก่อนการตรวจ

    A: การตรวจฮอร์โมนเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะหมดประจำเดือน โดยเฉพาะการตรวจระดับ FSH และเอสโตรเจน อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยจะพิจารณาร่วมกับอาการทางคลินิกและประวัติการมีประจำเดือนด้วย

    A: ไม่เสมอไป การรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความผิดปกติของฮอร์โมน อาการที่เกิดขึ้น และสภาวะสุขภาพโดยรวม แพทย์จะพิจารณาและให้คำแนะนำที่เหมาะสมเป็นรายกรณี

    A: ราคาของแพ็คเกจการตรวจฮอร์โมนที่ครอบคลุมทั้ง 8 ชนิดที่ Welida Health คือ 7,200 บาท

    A: การตรวจฮอร์โมนส่วนใหญ่ทำผ่านการเจาะเลือด ซึ่งอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะเจาะ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรงหรือยาวนาน

    A: ความถี่ในการตรวจฮอร์โมนขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพและคำแนะนำของแพทย์ บางคนอาจต้องตรวจปีละครั้ง ในขณะที่บางคนอาจต้องตรวจบ่อยกว่านั้นหากมีปัญหาสุขภาพเฉพาะ

    A: ระยะเวลาในการรอผลตรวจอาจแตกต่างกันไปตามสถานพยาบาลและชนิดของการตรวจ โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1-7 วัน


    บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

    ชวัลนุช ม่วงประเสิรฐ

    Chawannut Muangprasert

    ประวัติการศึกษา

    Master's degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor's degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

    เฉพาะทางด้าน

    Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology

    บทความที่น่าสนใจ