โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร? ส่งผลดีต่อลำไส้จริงไหม

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ September 18, 2024

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

ในโลกแห่งการดูแลสุขภาพยุคใหม่ คำว่า “โพรไบโอติกส์” (Probiotics) กลายเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจุลินทรีย์เล็กๆ เหล่านี้มีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพของเรา? ในบทความนี้ Welida Health จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกมหัศจรรย์ของโพรไบโอติกส์ ไขความลับว่าทำไมมันถึงส่งผลดีต่อลำไส้และร่างกายของเรา พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลล่าสุดที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คืออะไร?

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่เมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค นิยามนี้ถูกกำหนดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ในปี 2001 แต่ความจริงแล้ว มนุษย์เราได้บริโภคและได้รับประโยชน์จากโพรไบโอติกส์มาเป็นเวลานานแล้ว ผ่านอาหารหมักดองต่างๆ โพรไบโอติกส์คือจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม สามารถให้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยทั่วไปแล้วจะพบในอาหารที่ผ่านการหมัก เช่น โยเกิร์ต และเครื่องดื่มเฟอร์เมนต์บางชนิด โพรไบโอติกส์ช่วยในการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งสามารถช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้

แหล่งของโพรไบโอติกส์

แหล่งของโพรไบโอติกส์

เราสามารถได้รับโพรไบโอติกส์ได้จากแหล่งต่างๆ ดังนี้:

  1. อาหารหมัก: เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ คอมบูชา
  2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: มีจำหน่ายในรูปแบบแคปซูล ผง หรือของเหลว
  3. อาหารที่เสริมโพรไบโอติกส์: เช่น นมหมักที่เสริมโพรไบโอติกส์ ซีเรียลบางชนิด

ประเภทของโพรไบโอติก

โพรไบโอติกประกอบด้วยแบคทีเรียหลายชนิด แต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มาจากสองกลุ่มหลัก คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกชนิดที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด

  1. แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) นี่อาจเป็นโพรไบโอติกที่พบได้บ่อยที่สุด คุณจะพบมันในโยเกิร์ตและอาหารหมักอื่นๆ แบคทีเรียสายพันธุ์นี้มีหลายชนิดย่อย ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและอาจช่วยผู้ที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้
  2. บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) คุณสามารถพบแบคทีเรียชนิดนี้ในผลิตภัณฑ์นมบางชนิด มันอาจช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และอาการอื่นๆ บางอย่างได้
  3. ยีสต์แซคคาโรไมซีส บูลาร์ดิไอ (Saccharomyces boulardii) นี่เป็นยีสต์ชนิดหนึ่งที่พบในโพรไบโอติก ดูเหมือนว่าจะช่วยต่อสู้กับอาการท้องเสียและปัญหาระบบย่อยอาหารอื่นๆ ได้

โพรไบโอติกทำงานอย่างไร?

โพรไบโอติกเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสุขภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยทำหน้าที่เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะในลำไส้และบริเวณอื่นๆ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับชุมชนจุลินทรีย์ที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันและแก้ไขภาวะไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย เมื่อโพรไบโอติกทำงานได้ผล จุลินทรีย์เหล่านี้จะเข้าไปอยู่อาศัยและเพิ่มจำนวนประชากรในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม โพรไบโอติกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน จุลินทรีย์ต่างสายพันธุ์ทำงานในร่างกายไม่เหมือนกัน ดังนั้นบางชนิดอาจเหมาะหรือไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคน ที่สำคัญคือโพรไบโอติกไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ FDA ทำให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องพิสูจน์คุณภาพหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อเลือกโพรไบโอติกที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

โพรไบโอติกส์มีผลดีต่อลำไส้หลายประการ:

  1. ป้องกันและรักษาอาการท้องเสีย: โพรไบโอติกส์สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการท้องเสียได้ โดยเฉพาะอาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ
  2. บรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน: การรับประทานโพรไบโอติกส์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ได้
  3. ป้องกันและรักษาโรคลำไส้อักเสบ: มีหลักฐานว่าโพรไบโอติกส์บางชนิดสามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังได้
  4. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้: โพรไบโอติกส์ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในลำไส้ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
  5. ลดอาการแพ้อาหาร: บางการศึกษาพบว่าโพรไบโอติกส์อาจช่วยลดความรุนแรงของอาการแพ้อาหารบางชนิดได้

ความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงของโพรไบโอติก

แม้จะมีการวิจัยเฉพาะด้านความปลอดภัยของโพรไบโอติกไม่มากนัก แต่โดยทั่วไปแล้วถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง โพรไบโอติกมีประวัติการใช้อย่างแพร่หลายและสม่ำเสมอในสาธารณะมาเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยของผลข้างเคียงในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยวิกฤต และทารกที่คลอดก่อนกำหนด

ความเสี่ยงหลักคือผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกอาจมีเชื้อที่เป็นอันตรายปนอยู่กับเชื้อที่มีประโยชน์ เนื่องจากจุลินทรีย์มีขนาดเล็กมาก จึงเป็นไปได้ที่เชื้อที่ไม่พึงประสงค์อาจปนเข้ามาหากผลิตภัณฑ์ไม่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด แม้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นน้อยและไม่ใช่ความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสามารถกำจัดเชื้อเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงได้

บทสรุป

โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบทางเดินอาหารและลำไส้ การรับประทานโพรไบโอติกส์อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยบรรเทาอาการของโรคทางเดินอาหารบางชนิดได้

อย่างไรก็ตาม การใช้โพรไบโอติกส์ควรทำด้วยความระมัดระวัง และควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเริ่มใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ หรือกำลังรับประทานยาอยู่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลสุขภาพโดยรวม ร่วมกับการใช้โพรไบโอติกส์อย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณมีสุขภาพลำไส้ที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

คำถามที่พบบ่อย

A1: คุณสามารถสังเกตได้จาก:

  • การเปลี่ยนแปลงของอาการที่ต้องการบรรเทา เช่น การขับถ่ายดีขึ้น หรืออาการท้องเสียลดลง
  • ควรใช้อย่างสม่ำเสมอและตามขนาดที่แนะนำเพื่อประเมินผลได้ชัดเจน
  • ผลการป้องกันอาจสังเกตได้ยากกว่า เช่น การเจ็บป่วยน้อยลงในช่วงไข้หวัดใหญ่
  • ในระยะยาว โพรไบโอติกควรช่วยปรับปรุงสุขภาพลำไส้โดยรวม
  • ในระยะสั้น อาจมีอาการไม่พึงประสงค์ชั่วคราว เช่น ท้องเสีย ท้องอืด แก๊ส โดยเฉพาะเมื่อเริ่มใช้
  • อาการเหล่านี้มักหายไปภายในไม่กี่วัน หากยังคงมีอาการควรปรึกษาแพทย์
  • สามารถได้รับจากอาหารเสริมหรืออาหารและเครื่องดื่มหมัก
  • อาหารธรรมชาติช่วยส่งเสริมความหลากหลายของจุลินทรีย์และอาจมีพรีไบโอติกร่วมด้วย
  • ผลิตภัณฑ์เสริมมักมีปริมาณโพรไบโอติกสูงกว่าและเหมาะสำหรับการรักษาปัญหาเฉพาะ
  • ควรใช้ตามคำแนะนำบนฉลากหรือคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยระบบย่อยอาหาร
  • บรรเทาอาการท้องเสียและท้องผูก
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และโรคผิวหนังบางชนิด
  • มีผลดีต่อสุขภาพจิต เช่น ลดอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล
  • ตอนเช้าก่อนอาหารเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะกระเพาะว่างและมีความเป็นกรดน้อย
  • กินพร้อมหรือหลังอาหารทันทีหากต้องการช่วยย่อยอาหาร
  • ก่อนนอนอาจเหมาะสำหรับผู้มีปัญหาท้องเสียหรือท้องผูก
  • สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการรับประทาน
  • รักษาสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ป้องกันการติดเชื้อ
  • อาจช่วยบรรเทาอาการ PMS และอาการในวัยทอง
  • ช่วยดูแลผิวพรรณโดยลดการอักเสบ
  • อาจช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
  • ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้


บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

จีณณ์ ตันติพรสิน

Jene Tantipornsin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Lerdsin hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology