Radiesse Filler คืออะไร? ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร

ในปี 2025 นี้ การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมความงามกลายเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ในตลาดที่มีตัวเลือกมากมาย เราจะทราบได้อย่างไรว่าฟิลเลอร์ชนิดไหนเหมาะสมที่สุด? วันนี้ Welida Health Wellness ขอนำเสนอ Radiesse Filler ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างชัดเจน เรามาดูกันว่า Radiesse Filler คืออะไรและมีข้อดีอย่างไรบ้าง
Radiesse Filler คืออะไร?

Radiesse Filler (อ่านว่า “เรเดียส”) คือนวัตกรรมกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มวอลลุ่มของใบหน้าโดยเฉพาะ ด้วยการใช้สารประกอบหลักที่เรียกว่า CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ต่อต้าน และสามารถสลายตัวไปตามธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ Radiesse ยังมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
CaHA (Calcium Hydroxylapatite) คือสารประกอบแคลเซียมที่มีโครงสร้างเหมือนกับแร่ธาตุที่พบในกระดูกและฟันของมนุษย์ ในทางการแพทย์ CaHA ถูกนำมาใช้ในรูปแบบของไมโครสเฟียร์ (microspheres) ขนาดเล็ก แขวนลอยอยู่ในเจลที่มีความหนืดพิเศษ คุณสมบัติพิเศษของ CaHA ใน Radiesse:
- ขนาดอนุภาคที่เหมาะสม: ไมโครสเฟียร์ของ CaHA มีขนาด 25-45 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ความเข้ากันได้กับร่างกาย: เนื่องจากเป็นสารที่มีโครงสร้างเหมือนกับแร่ธาตุในร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
- การสลายตัวแบบธรรมชาติ: เมื่อเวลาผ่านไป CaHA จะค่อยๆ สลายตัวเป็นแคลเซียมและฟอสเฟตซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้
Radiesse Filler มีส่วนประกอบจากอะไร?
Radiesse มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และมีคุณสมบัติในการเพิ่ม Collagen Type I และ Type III ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่สำคัญในการคงความยืดหยุ่นของผิว และยังพบได้ในผิวของเด็ก ทำให้ช่วยลดริ้วรอยลึก ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น และดูสุขภาพดี
- ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ผิวแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- ริ้วรอยดูตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา
หลักการทำงานของ Radiesse filler
Radiesse ทำงานผ่านกลไกที่ซับซ้อนในการฟื้นฟูการทำงานของ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ที่รับผิดชอบในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง เมื่อฉีด Radiesse เข้าสู่ผิว สาร CaHA จะกระตุ้นการสร้างองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการที่จำเป็นต่อสุขภาพผิวที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเพิ่มการผลิตคอลลาเจน Type I ถึง 150% ซึ่งมากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
Radiesse Filler มีให้เลือก 2 รุ่น โดยทั้งสองรุ่นมีส่วนประกอบหลักเหมือนกันและให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน ได้แก่
- Radiesse Filler: ไม่มีส่วนผสมของยาชา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความบริสุทธิ์ของตัวยา
- Radiesse Plus: ผสมยาชา Lidocaine เพื่อลดความเจ็บในระหว่างการฉีด
Radiesse Filler ต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปอย่างไร

ในการเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะกับความต้องการ สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือความแตกต่างระหว่าง Radiesse และ HA Filler ทั้งในแง่ของการใช้งานและประสิทธิภาพ Radiesse โดดเด่นด้วยความสามารถในการแก้ไขร่องลึกบนใบหน้า โดยเฉพาะร่องน้ำหมาก รวมถึงสามารถใช้ได้ดีกับบริเวณคอและมือ ในขณะที่ HA Filler จะเน้นการเติมเต็มและเพิ่มวอลลุ่ม เหมาะสำหรับการเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปากและแก้ม
นอกจากความแตกต่างในด้านการใช้งานแล้ว Radiesse ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องความคงทนของผลลัพธ์ โดยสามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน เมื่อเทียบกับ HA Filler ที่ให้ผลลัพธ์ประมาณ 8-12 เดือน ในการรักษาด้วย Radiesse แพทย์จะพิจารณาปริมาณการใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปการรักษาครั้งแรกจะใช้ประมาณ 1-2 ไซริงค์ (1.5-3 CC) ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และความรุนแรงของปัญหาที่ต้องการแก้ไข เมื่อผลลัพธ์เริ่มลดลงหลังจาก 18 เดือน สามารถฉีดเพิ่มเติมเพื่อรักษาผลลัพธ์ที่ต้องการได้
การเลือกระหว่าง Radiesse และ HA Filler จึงควรพิจารณาจากความต้องการเฉพาะบุคคล บริเวณที่ต้องการรักษา และระยะเวลาของผลลัพธ์ที่ต้องการ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
Radiesse Filler เหมาะกับใคร?

Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึก ผิวหน้าหย่อนคล้อย หรือผู้ที่มองหาวิธีฟื้นฟูผิวในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ขาดการบำรุง หรือมีจุดด่างดำ ฝ้า กระ และรอยสิว นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้กระจ่างใสและแข็งแรงขึ้นแบบเร่งด่วน สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว Radiesse เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะนอกจากจะช่วยเติมเต็มใบหน้า ยังมีคุณสมบัติเป็น Biostimulator ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
ข้อดีของ Radiesse filler
Radiesse Filler เป็นนวัตกรรมด้านความงามที่มีจุดเด่นเหนือกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ด้วยคุณสมบัติการทำงานที่หลากหลายและครอบคลุมหลายปัญหาผิว:
- เพิ่มวอลลุ่มและเติมเต็มร่องลึก: Radiesse สามารถแก้ปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และร่องลึกบริเวณใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ยกกระชับและลดความหย่อนคล้อย: ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน Radiesse ช่วยเสริมสร้างความกระชับของผิวบริเวณใบหน้าส่วนบน และลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณใบหน้าส่วนล่าง
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: Radiesse ทำหน้าที่เป็น Biostimulator ช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวดูยืดหยุ่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- ผลลัพธ์ยาวนาน: เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ประเภทอื่น Radiesse มีผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดยสามารถคงอยู่ได้ถึง 18 เดือน
ข้อเสียและข้อควรระวังของ Radiesse
แม้ Radiesse จะมีข้อดีที่โดดเด่น แต่ก็มีข้อควรพิจารณาเพื่อให้การเลือกใช้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
- ไม่เหมาะสำหรับบางบริเวณ: Radiesse ไม่เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่มีผิวบอบบางมาก เช่น ใต้ตา รอบปาก หรือระหว่างคิ้ว
- อาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อย: หลังการฉีด อาจเกิดรอยช้ำหรือบวมแดงในบางกรณี ซึ่งเป็นอาการปกติและจะหายไปในระยะเวลาไม่นาน
- ความเสี่ยงจากการฉีดที่ผิดวิธี: หากได้รับการฉีดโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดรอยนูนหรือผลข้างเคียงจากการสะสมของแคลเซียมในชั้นผิว
- ราคาสูง: Radiesse มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ทั่วไป เนื่องจากคุณสมบัติที่พิเศษและผลลัพธ์ที่ยาวนาน
ข้อควรระวังหลังการฉีด Radiesse Filler
การดูแลหลังการฉีด Radiesse เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานและลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด: ไม่ควรกด นวด หรือจับบริเวณที่ฉีดในช่วง 48 ชั่วโมงแรก
- งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกาย หรือการซาวน่า เป็นเวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความร้อน: ห้ามโดนแสงแดดจัดหรือแหล่งความร้อนโดยตรง เช่น การอบไอน้ำ หรืออ่างน้ำร้อน
- งดแต่งหน้า: หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
- ประคบเย็น: หากมีอาการบวมแดง แนะนำให้ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการ