รู้จัก Oligio เครื่องยกกระชับหน้าเฟิร์มแบบไม่เจ็บ ไม่พักฟื้น จากเกาหลี

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ พฤษภาคม 14, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

อายุที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ใช่ปัญหาแต่สิ่งที่หลายคนกังวลคือความเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนออกมาทางผิวหน้า ทั้งอาการผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าเริ่มไม่ชัด แต่งหน้ายากขึ้น หรือบางวันก็รู้สึกไม่มั่นใจเหมือนเคย หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่ปลอดภัย ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น Oligio คือหนึ่งในเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าจากเกาหลีที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวอย่างอ่อนโยน แต่เห็นผลจริงในแบบที่ยังเป็นตัวคุณ 

ในบทความนี้จาก Welida Wellness Center จะขออาสาพาคุณไปรู้จัก Oligio ให้ลึกขึ้น ตั้งแต่หลักการทำงาน ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ ไปจนถึงวิธีเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณจริง ๆ กัน

Oligio คืออะไร?

Oligio คืออะไร?

Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าด้วยพลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูงชนิด Monopolar RF ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นโครงสร้างที่ศัลยแพทย์มักยกเวลาทำเฟซลิฟต์ นั่นแปลว่า Oligio ทำได้ใกล้เคียงกับการผ่าตัด แต่ไม่ต้องลงมีด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้น โดยสิ่งที่ทำให้ Oligio ต่างจากเครื่องยกกระชับแบบเดิม คือระบบทำความเย็นและการกระจายพลังงานที่สม่ำเสมอ ทำให้ขณะทำรู้สึกแค่อุ่น ๆ ไม่แสบผิว ไม่ต้องใช้ยาชา แถมยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ต่อเนื่องนานถึง 3–6 เดือนหลังทำ

ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวดูแน่น เฟิร์มขึ้นแบบธรรมชาติ กรอบหน้าชัดขึ้น รูขุมขนกระชับ และริ้วรอยบาง ๆ ดูจางลงทันทีประมาณ 20% หลังทำ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 1–3 เดือน โดยที่ไม่ต้องพักฟื้นหรือหยุดงานเลยแม้แต่วันเดียว

หลักการทำงานของ Oligio

หลักการทำงานของ Oligio

หลายคนมองว่า Oligio เป็นแค่เครื่องยกกระชับ แต่ในความจริงแล้ว Oligio ทำได้มากกว่านั้น เพราะนอกจากจะช่วยยกผิวให้แน่นขึ้น ยังจัดการกับปัญหาที่มักมากับอายุผิว เช่น ไขมันสะสม ริ้วรอย หรือผิวที่ดูไม่สดใสอย่างเคย
ด้วยหลักการทำงานของ Oligio คือการส่งพลังงานคลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ลงลึกถึงชั้นผิวหนังแท้และชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่คอยพยุงผิวให้กระชับ พลังงานนี้จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวแน่นขึ้นจากภายใน รูขุมขนกระชับ ผิวเรียบเนียน และกรอบหน้าชัดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ Oligio ยังมีฤทธิ์สลายไขมันระดับผิวตื้น โดยเฉพาะบริเวณกรอบหน้าและใต้คาง คลื่น RF จะทำให้ไขมันแตกตัว แล้วร่างกายจะค่อย ๆ ขจัดออกตามกระบวนการธรรมชาติของตัวเอง จึงช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่เจ็บตัว และไม่ต้องพักฟื้น

เรียกได้ว่า Oligio ไม่ได้แค่ยกแต่ช่วยรีเซ็ตคุณภาพผิวโดยรวมให้กลับมาดูแน่น ฟู ใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่อยากเห็นผลจริงแต่ยังไม่พร้อมสำหรับวิธีที่รุกรานหรือเสี่ยงสูง

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ Oligio?

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ Oligio?

Oligio เหมาะกับคนที่เริ่มรู้สึกว่าผิวหน้าไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นความหย่อนคล้อยเล็กน้อย ริ้วรอยบาง ๆ กรอบหน้าไม่ชัด หรือผิวดูไม่แน่นเหมือนเมื่อก่อน โดยไม่อยากพึ่งเข็ม ไม่อยากเจ็บ และยังไม่พร้อมสำหรับการศัลยกรรม โดยกลุ่มที่เหมาะมากที่สุดกับการทำ Oligio ได้แก่

  • ผู้ที่มีอายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป และเริ่มสังเกตว่าผิวไม่เฟิร์มเท่าเดิม
  • คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น แก้มตก คางหย่อน
  • คนที่มีเหนียง หรือไขมันใต้คางบางส่วนที่อยากลดแบบไม่เจ็บ
  • คนที่มีริ้วรอยบาง ๆ เช่น ตีนกา รอยหน้าผาก หรือร่องแก้ม
  • คนที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน อยากให้หน้าแน่นขึ้นแบบไม่ต้องลงเข็ม
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ต้องการหัตถการที่ทำแล้วใช้ชีวิตต่อได้ทันที
  • ผู้ที่กังวลเรื่องการแพ้ยาชาหรือเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับเลเซอร์แรง ๆ

ในทางกลับกัน หากมีผิวหย่อนคล้อยมาก แก้มตกชัด หน้าห้อยเยอะ อาจพิจารณาหัตถการอื่นที่ลึกกว่า เช่น Ulthera หรือ Thermage แต่หากคุณเพิ่งเริ่มดูแลตัวเอง Oligio คือหนึ่งในเครื่องที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย อ่อนโยน และเห็นผลได้จริง

Oligio vs Thermage vs HIFU เลือกอะไรดี?

Oligio vs Thermage vs HIFU เลือกอะไรดี?

สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องยกกระชับหน้าแบบไม่ผ่าตัด คำถามยอดฮิตที่มักเจอคือ แล้ว Oligio ต่างจาก Thermage หรือ HIFU ยังไง? เราขออธิบายแบบเข้าใจง่ายให้เห็นภาพชัด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ตรงกับผิวและงบของตัวเองมากที่สุด

1. พลังงานที่ใช้

Oligio และ Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency) แบบ Monopolar RF ที่ลงลึกได้ดี กระตุ้นคอลลาเจนพร้อมช่วยลดไขมันระดับผิว
HIFU: ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์แบบโฟกัสความเข้มสูง (High Intensity Focused Ultrasound) ที่เน้นยกกระชับชั้นลึกโดยเฉพาะจุด เช่น ร่องแก้ม กราม คาง

ระดับความร้อน

Oligio ให้ความร้อนประมาณ 40–45°C รู้สึกอุ่นสบาย ไม่เจ็บ เพราะมีระบบทำความเย็นและระบบสั่นช่วยลดความระคายเคือง
Thermage ความร้อนสูงกว่า (มากถึง ~65°C) จึงกระตุ้นคอลลาเจนได้แรง เห็นผลชัดกว่า แต่บางคนอาจรู้สึกเจ็บและต้องทายาชาก่อนทำ
HIFU ความร้อนสูงที่สุด (60–75°C) ลงลึกถึงชั้น SMAS แต่หลายคนจะรู้สึกจี้ ๆ หรือเจ็บจี๊ด ๆ ระหว่างทำ โดยเฉพาะบริเวณกระดูก

3. ผลลัพธ์ที่ได้

Oligio เหมาะกับคนที่อยากยกกระชับเบา ๆ ผิวแน่นขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น ไม่ต้องการพักฟื้น และอยากได้ผลที่เป็นธรรมชาติ
Thermage เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก อยากให้หน้าแน่น ผิวยกขึ้นแบบรู้สึกได้ชัด
HIFU เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด ต้องการยกหน้าแบบเน้นจุด เน้นกรอบชัดไว แต่ไม่เหมาะกับผิวบางหรือไวต่อความเจ็บ

4. ระยะเวลาเห็นผล

Oligio เห็นผลทันที ~20% หลังทำ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3 เดือน
Thermage เห็นผลชัดใน 2–3 เดือน อยู่ได้นานกว่า อาจถึง 1 ปีหรือมากกว่านั้น
HIFU เริ่มเห็นผลใน 1 เดือน และจะชัดเต็มที่ในเดือนที่ 2–3

5. ความเจ็บและการพักฟื้น

Oligio ไม่เจ็บ ไม่ต้องทายาชา ทำเสร็จกลับไปทำงานได้ทันที
Thermage อุ่น ๆ ร้อน ๆ ต้องทายาชา และอาจมีผิวแดงนิดหน่อยหลังทำ
HIFU เจ็บจี๊ดจุดลึก อาจมีบวมเบา ๆ บางคนอาจต้องพักหน้าสั้น ๆ ก่อนแต่งเต็ม

ดังนั้น ถ้าคุณอยากเริ่มต้นดูแลผิวแบบไม่เจ็บ ทำเสร็จแล้วไปทำงานต่อได้เลย ไม่ต้องทายาชา ไม่ต้องพักฟื้น และชอบผลลัพธ์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติ Oligio คือคำตอบที่น่าลอง เพราะมันเหมาะกับคนที่กำลังเริ่มสังเกตว่าผิวเริ่มเปลี่ยน แต่ยังไม่อยากขยับไปถึงเลเซอร์แรง ๆ หรือหัตถการรุกราน
ถ้าอยากได้ผลเร็ว แรง ยกชัด ผิวยกแน่นแบบรู้สึกได้ทันที โดยเฉพาะถ้าผิวเริ่มหย่อนมากแล้ว Thermage จะตอบโจทย์มากกว่า แม้ราคาจะสูงและต้องเจ็บนิดหน่อย แต่หลายคนยอมแลกกับผลลัพธ์ที่ชัดและอยู่ได้นาน

แต่ถ้ามีไขมันเฉพาะจุด หรืออยากยกแบบเน้นเป็นบริเวณ เช่น กรอบหน้า คาง เหนียง HIFU ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าทำกับแพทย์ที่ชำนาญจะเห็นผลลัพธ์ชัด และควบคุมจุดได้แม่นยำกว่าเครื่องทั่วไป ซึ่งสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะเลือกเครื่องไหน คำตอบที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่เครื่องอะไรแรงกว่า? แต่คือคำถามที่ว่า อะไรเหมาะกับสภาพผิวและจังหวะเวลาของคุณที่สุด? เพราะการยกกระชับผิวที่ดี ต้องไม่ใช่แค่ยกให้เห็น แต่ต้องยกแล้ว ยังเป็นคุณในแบบที่ดูสดใสแข็งแรงและมั่นใจขึ้น เท่านั้นเอง

ทำ Oligio แล้วต้องดูแลอะไรบ้างเจ็บไหมพักฟื้นหรือเปล่า?

หนึ่งในเหตุผลที่หลายคนตัดสินใจทำ Oligio ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ ไม่ใช่แค่เรื่องผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่เพราะมัน “ไม่ต้องพักฟื้น” จริง ๆ หลังทำเสร็จสามารถล้างหน้า แต่งหน้า ทาครีมกันแดด กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีแบบไม่ต้องห่วงรอยแดง รอยบวม หรือความรู้สึกตึงแสบเหมือนหัตถการแรง ๆ อื่น ๆ

ในขณะทำ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ผิวมากกว่าเจ็บ เพราะหัวเครื่องมีระบบทำความเย็น และระบบสั่นช่วยลดแรงกระทบกับผิว ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องรอนาน ทำทั้งหน้าก็ใช้เวลาประมาณ 20–30 นาทีเท่านั้น ซึ่งสะดวกมากสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด หรือต้องรีบกลับไปทำงานต่อ

หลังทำเสร็จ บางคนอาจมีผิวชมพูอมแดงเล็กน้อยในบางจุด ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องทายา ไม่ต้องประคบ ไม่ต้องเลี่ยงแดดหนัก แต่ทางที่ดีควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50+ เป็นประจำ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ผิวร้อน เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือออกแดดจัด ๆ ใน 1–2 วันแรก เพื่อรักษาคอลลาเจนที่เพิ่งถูกกระตุ้นไว้ให้ทำงานได้ต่อเนื่อง

ช่วงหลังทำ 1–3 เดือน ผิวจะค่อย ๆ แน่นขึ้นแบบไม่เฟค เพราะร่างกายใช้เวลาในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ตามธรรมชาติ ไม่มีอาการหน้าตึงแข็ง หรือผลลัพธ์ที่ดูฝืนโครงหน้า เหมาะกับคนที่อยากให้คนรอบตัวทักว่า “หน้าดูสดขึ้นนะ? ไปทำอะไรมา” มากกว่าการเห็นผลเปลี่ยนแบบเว่อร์วังเกินจริง

ดังนั้น ใครที่กลัวเจ็บ กลัวบวม หรือเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับเลเซอร์แรง ๆ มาก่อน Oligio คืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าลอง เพราะมันไม่เพียงแค่ปลอดภัย แต่ยังให้ความรู้สึกมั่นใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยที่ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องพัก ไม่ต้องซ่อนหน้า และไม่ต้องลางาน

ทำ Oligio กี่ครั้งถึงเห็นผล?

หนึ่งในคำถามที่เจอบ่อยที่สุดคือ ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? และ ผลอยู่ได้นานมั้ย? ซึ่งคำตอบของ Oligio ก็ค่อนข้างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า “เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ” โดยจะเริ่มรู้สึกว่าผิวแน่นขึ้นประมาณ 20% ภายใน 1–2 วัน และจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงเดือนที่ 1–3 เพราะร่างกายใช้เวลาค่อย ๆ สร้างคอลลาเจนใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ

ส่วนความคงทนของผลลัพธ์ โดยเฉลี่ยจะอยู่ได้ราว 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ ไลฟ์สไตล์ และการดูแลตัวเองหลังทำ เช่น การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ และการหลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนโดยตรง และเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองดูตารางนี้ประกอบได้เลยค่ะ

รายละเอียดOligio
เห็นผลครั้งแรกภายใน 1–3 วัน (เริ่มแน่น)
เห็นผลเต็มที่ช่วงเดือนที่ 1–3
ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6–12 เดือน
ควรทำซ้ำเมื่อไรทุก 6–12 เดือนตามสภาพผิว

ใครที่อยากวางแผนดูแลผิวระยะยาวแบบปลอดภัย ไม่พึ่งสารเติมเต็ม ไม่อยากเสี่ยงกับการผ่าตัด และอยากให้ใบหน้าดูเฟิร์มขึ้นอย่างมั่นใจ การทำ Oligio ปีละ 1–2 ครั้งถือเป็นแผนที่สมดุลที่สุด ระหว่าง ดูแลผิว กับ ดูแลกระเป๋าเงิน ไปพร้อมกัน

Oligio เหมาะกับคุณหรือไม่? และสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

หากคุณกำลังมองหาวิธีดูแลผิวที่ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น แต่ยังอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงแบบมีอยู่จริง Oligio คือเทคโนโลยียกกระชับที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัย ความเป็นธรรมชาติ และการดูแลแบบต่อเนื่องจากภายใน โดยเฉพาะสำหรับคนที่เริ่มมีสัญญาณของความหย่อนคล้อย แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องใช้วิธีที่รุนแรงหรือรุกรานผิว

Oligio เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ใส่ใจการดูแลผิวในระยะยาว รู้จักคุณค่าของการลงทุนกับสุขภาพผิว และอยากให้ผิวดีขึ้นในแบบที่ยังเป็นตัวเอง ไม่เฟค ไม่แข็ง และไม่ต้องฝืนโครงหน้าเดิม สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าเทคโนโลยีนี้ทำงานร่วมกับร่างกายเรา ไม่ใช่เครื่องวิเศษที่เห็นผลชั่วข้ามคืน แต่ถ้าคุณให้เวลากับมัน Oligio จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอย่างมากทั้งในแง่ของความกระชับ ความสดใส และความมั่นใจเมื่อมองตัวเองในกระจก

ที่ Welida Wellness Center เราเข้าใจดีว่าผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และความสวยไม่ควรถูกกดสูตรแบบสำเร็จรูป ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราจึงวิเคราะห์สภาพผิวและปัญหาอย่างละเอียดก่อนทุกเคส ติดต่อเราทันที พร้อมวางแผนการยิง Oligio แบบเฉพาะบุคคลให้เหมาะกับโครงหน้า ไลฟ์สไตล์ และความต้องการของคุณจริง ๆ เพราะการดูแลตัวเองไม่ควรเริ่มจากความกลัว แต่ควรเริ่มจากความเข้าใจ และที่ Welida…เราอยากให้คุณได้เริ่มจากตรงนั้นเสมอ

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

สุทธวดี สุขเจริญสิน

Sutawadee Sukcharoensin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine, Orthopaedic