วัคซีน HPV คืออะไร

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ มิถุนายน 24, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

เรื่องสุขภาพในยุคนี้ไม่ได้มีแค่การกินดีนอนหลับพอแล้วนะ หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคมากขึ้น หนึ่งในเรื่องที่กำลังฮิตคือ การฉีดวัคซีน HPV ซึ่งช่วยลดโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นต้นเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูกและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

วันนี้ Welida Health Wellness Center จะมาเล่าให้ฟังเรื่องวัคซีน HPV แบบเข้าใจง่ายๆ ครอบคลุมตั้งแต่ประโยชน์ สิ่งที่ต้องระวัง วิธีเลือกวัคซีนให้เหมาะกับอายุ รวมถึงสิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีด เพื่อสุขภาพระยะยาวที่มั่นใจได้

วัคซีน HPV คืออะไรกันแน่

ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นไวรัสที่แพร่ได้ทางผิวหนังและการมีเพศสัมพันธ์ โดยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์เลย ในจำนวนนี้มีประมาณ 40 สายพันธุ์ที่สามารถติดเชื้อที่อวัยวะเพศได้ และบางสายพันธุ์ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก อีกทั้งยังมีสายพันธุ์ 6 และ 11 ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่อีกด้วย

การฉีดวัคซีน HPV จึงเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อพวกนี้และลดโอกาสเป็นมะเร็งในอนาคต

ทำไมต้องฉีดวัคซีน HPV

วัคซีน HPV ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่ และมะเร็งในบริเวณอวัยวะเพศ ช่องปาก ทวารหนัก และลำคอ แม้ว่าวัคซีนจะไม่ได้ป้องกันมะเร็งโดยตรง แต่การป้องกันการติดเชื้อ HPV ตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยลดโอกาสที่เซลล์จะผิดปกติและกลายเป็นมะเร็งในอนาคต โดยเฉพาะถ้าฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ดีที่สุด ทำให้การป้องกันมีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนี้ วัคซีนยังช่วยลดการแพร่เชื้อในสังคมและสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคนอีกด้วย

วัคซีน HPV มีกี่แบบ

ตอนนี้วัคซีน HPV แบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ ตามจำนวนสายพันธุ์ที่คลุมได้
วัคซีน 2 สายพันธุ์ (Cervarix): ป้องกัน HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%
วัคซีน 4 สายพันธุ์ (Gardasil): เพิ่มการป้องกันสายพันธุ์ 6 และ 11 ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ด้วย
วัคซีน 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9): ครอบคลุมสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ซึ่งป้องกันได้ถึง 90-99% ทั้งมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องคลอด และหูดหงอนไก่

อายุเท่าไหร่ควรฉีดจะดีที่สุด

วัคซีน HPV จะได้ผลดีที่สุดถ้าฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มฉีดตั้งแต่อายุ 9 ปี ทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย
อายุ 9-14 ปี: ฉีดแค่ 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
อายุ 15-45 ปี: ฉีด 3 เข็ม คือเข็มแรก เข็มที่สองหลัง 1-2 เดือน และเข็มที่สามห่างจากเข็มแรกประมาณ 6 เดือน
ทั้งนี้ วัคซีน 9 สายพันธุ์ฉีดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยได้ผลดีมากที่สุดในเด็กที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เพราะยังไม่เคยสัมผัสเชื้อ HPV มาก่อน แต่ถึงจะเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังฉีดได้เพื่อป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อื่นๆ ต่อไป

ต้องตรวจภายในก่อนฉีดไหม

ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกครั้ง โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์หรืออายุยังน้อย แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจภายในหรือทำ Pap smear เพื่อประเมินความเสี่ยงประกอบด้วย

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด

มีบางกลุ่มที่ไม่ควรฉีดวัคซีน HPV เช่น

  • คนที่แพ้ยีสต์หรือแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
  • คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัด
  • คนที่กำลังป่วยหรือติดเชื้อ ควรรอให้หายก่อน
  • ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ควรเลื่อนไปฉีดหลังคลอด

ผลข้างเคียงมีอะไรบ้าง

โดยทั่วไปผลข้างเคียงของวัคซีน HPV ไม่รุนแรง เช่น จุดที่ฉีดปวด บวม แดง รู้สึกเพลีย ไข้ ปวดหัว หรือคลื่นไส้ ซึ่งมักจะหายเองในสองสามวัน ส่วนผลข้างเคียงรุนแรงอย่าง Guillain-Barre syndrome นั้นพบน้อยมาก และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนโดยตรง

เคยฉีดแล้วฉีดเพิ่มได้ไหม

ถ้าเคยฉีดวัคซีน HPV แบบ 2 หรือ 4 สายพันธุ์ครบแล้ว ยังสามารถฉีดแบบ 9 สายพันธุ์เพิ่มได้เพื่อขยายการป้องกัน แต่ควรเว้นระยะจากเข็มสุดท้ายอย่างน้อย 1 ปี และต้องปรึกษาแพทย์ก่อน

สรุป

วัคซีน HPV เป็นหนึ่งในวัคซีนสำคัญที่ช่วยลดโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การเลือกฉีดวัคซีนที่เหมาะกับช่วงอายุและได้รับคำแนะนำจากแพทย์ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและปกป้องสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

สุทธวดี สุขเจริญสิน

Sutawadee Sukcharoensin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine, Orthopaedic