5 วิธีล้างสารพิษในร่างกายด้วยตัวเอง

ไม่ต้องพึ่งยาดีท็อกซ์ไม่ต้องอดอาหารก็ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้จริง เพราะ ดีท็อกซ์ ไม่ได้แปลว่าการกินน้ำมะนาว 3 วันติด หรือกินยาระบายจนลำไส้สะอาดหมดจด เพราะความจริงแล้ว ร่างกายเรามีระบบขจัดสารพิษด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่เราแค่ต้องดูแลให้มันทำงานได้ดีขึ้นเพียงเท่านั้นเอง นั่นทำให้ในวันนี้ Welida Health Wellness Center จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 วิธีล้างสารพิษในร่างกายด้วยตัวเองง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยไม่ต้องเสียเงินกับคอร์สดีท็อกซ์แพง ๆ หรือเทรนด์สุขภาพที่ไร้หลักฐาน มาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. ดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าที่คิด

หลายคนไม่รู้ว่า น้ำคืออาวุธสำคัญที่สุดของระบบขับสารพิษในร่างกาย ไม่ใช่ชาสมุนไพรราคาแพง หรือน้ำผักปั่นเขียว ๆ ที่ฝืนดื่มทุกเช้า แต่คือน้ำเปล่าธรรมดา ที่ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะตับ ไต ปอด และผิวหนัง ซึ่งเป็นด่านสำคัญในการกำจัดของเสีย
เวลาที่ร่างกายเผาผลาญพลังงาน ซ่อมแซมเซลล์ หรือแม้แต่ย่อยอาหาร จะเกิดของเสียขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยูเรีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำจะเป็นตัวพาของเสียเหล่านี้ออกทางปัสสาวะเหงื่อและลมหายใจ ถ้าดื่มน้ำน้อย ของเสียจะสะสม และอาจทำให้รู้สึกเพลีย หน้าหมอง ระบบขับถ่ายรวน หรือแม้แต่ปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นคุณจึง ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน หรือมากกว่านั้นถ้าอยู่ในที่ร้อน ออกกำลังกาย หรือดื่มกาแฟเยอะ เพราะคาเฟอีนมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
ลองเริ่มวันด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเล็กน้อย จะช่วยกระตุ้นการทำงานของตับและระบบย่อยอาหารให้ตื่นตัว เป็นการเริ่มต้นเช้าที่ดีโดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีน
2. ลดน้ำตาลและอาหารแปรรูปให้ได้จริงจัง

หนึ่งในภาระใหญ่ของร่างกายที่มักถูกมองข้ามคือ น้ำตาลและอาหารแปรรูป เพราะมันไม่ได้แค่เพิ่มแคลอรี่ แต่ยังเพิ่มภาระของเสียให้กับตับและลำไส้โดยตรง อาหารพวกนี้มักมีทั้งน้ำตาลทรายขัดขาว น้ำมันทรานส์ สารกันเสีย และวัตถุปรุงแต่งที่ย่อยยาก ทำให้ระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนัก และบางครั้งสารเหล่านี้อาจสะสมได้ในระดับเซลล์
การกินหวานจัดเค็มจัดมันจัดทำให้ระบบขับสารพิษทำงานได้ช้าลง เพราะอวัยวะอย่างตับและไตถูกใช้ไปกับการประมวลผลอาหารเหล่านี้ มากกว่าจะมีเวลา “ฟื้นฟูตัวเอง” หรือจัดการของเสียอื่น ๆ ที่ร่างกายต้องรับมือทุกวัน เช่น มลพิษ ยา หรือสารเคมีจากภายนอก
ทางออกไม่ใช่การหักดิบทันทีแต่ค่อยๆลดปริมาณลง เช่น เปลี่ยนน้ำอัดลมเป็นน้ำเปล่าหรือชาสมุนไพรไม่หวาน เลี่ยงของทอดหรือของแปรรูปที่ใส่กล่องมา และเพิ่มผักผลไม้สดเข้าไปในแต่ละมื้อ ถ้าทำได้ 70% ของเวลาทั้งสัปดาห์ คุณจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งพลังงาน ผิว และระบบขับถ่าย ดังนั้น จำไว้ว่าอาหารคือเชื้อเพลิงและของเสียที่มาจากอาหารก็เป็นหน้าที่ของร่างกายต้องจัดการให้จบ ถ้าลดต้นทางได้ ระบบดีท็อกซ์ก็ไม่ต้องทำงานหนักจนพัง
3. นอนให้พอและพักสมองให้เป็น

หลายคนพยายามล้างสารพิษด้วยน้ำผัก ดื่มน้ำมะนาว หรือออกกำลังกาย แต่ลืมสิ่งพื้นฐานที่สุดอย่าง การนอนหลับ ซึ่งคือเวลาที่ร่างกาย “รีเซตระบบ” และกำจัดของเสียระดับเซลล์โดยเฉพาะในสมอง
ขณะเราหลับระบบน้ำหล่อสมอง (glymphatic system) จะทำงานเพื่อชะล้างของเสียที่สะสมมาทั้งวัน เช่น โปรตีนผิดปกติ สารพิษจากการเผาผลาญ รวมถึงสารที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมในระยะยาว ถ้าเรานอนไม่พอ ของเสียเหล่านี้จะสะสม ส่งผลต่ออารมณ์ ความจำ และพลังงานในแต่ละวันแบบที่ไม่รู้ตัว
แค่นอนไม่พอ 2–3 คืนติดกันระบบฮอร์โมนภูมิคุ้มกันและระบบย่อยอาหารก็เริ่มแปรปรวน เพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะเครียด (stress mode) อย่างต่อเนื่อง ทำให้กระบวนการฟื้นฟูหรือขับของเสียทำงานแย่ลง คำแนะนำง่าย ๆ จึงคือการนอนให้ได้อย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน และพยายามเข้านอนให้ตรงเวลาทุกวัน หลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าจากหน้าจอก่อนนอน 1 ชั่วโมง หรือลองใช้เทคนิคพักสมองแบบรู้ตัว เช่น การทำสมาธิสั้น ๆ หรือหายใจลึก ๆ ก็ช่วยให้คุณหลับง่ายขึ้น และตื่นมาสดชื่นแบบไม่ต้องพึ่งคาเฟอีน
4. ขยับร่างกายให้มากขึ้นเหงื่อออกได้คือกำไร

การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยแค่เผาผลาญแคลอรี่ แต่ยังช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด ระบบน้ำเหลือง และการทำงานของปอด ซึ่งทั้งหมดนี้คือทางผ่านของสารพิษในร่างกาย ถ้าระบบหมุนเวียนดี ร่างกายก็จะขับของเสียออกได้เร็วขึ้น ทั้งผ่านเหงื่อ ลมหายใจ และการไหลเวียนของเลือดไปยังตับและไต
การขยับร่างกายช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและไต งานวิจัยหลายชิ้นยังพบว่า การออกกำลังกายแบบต่อเนื่องสามารถลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นตัวรบกวนสำคัญของระบบดีท็อกซ์ธรรมชาติ คุณไม่จำเป็นต้องเข้ายิมทุกวัน แค่ เดินเร็ว 30 นาทีต่อวัน หรือเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวัน เช่น ลุกเดินหลังนั่งทำงาน 1 ชั่วโมง ขึ้นบันไดแทนลิฟต์ หรือเล่นโยคะเบา ๆ ก็ช่วยให้ระบบภายในไหลลื่นขึ้นทันตา
5. กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

ทุกครั้งที่ร่างกายเราทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการหายใจ ย่อยอาหาร หรือเผาผลาญพลังงาน จะเกิดของเสียในระดับเซลล์ที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เซลล์เสื่อมเร็ว เกิดการอักเสบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงโรคต่าง ๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ มะเร็ง หรือแม้แต่สมองเสื่อม
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) คือด่านสำคัญในการล้างสารพิษระดับเซลล์ โดยทำหน้าที่จับและลดผลกระทบของอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำลายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะสำคัญ
อาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่
- ผักผลไม้หลากสี เช่น เบอร์รี่ บีทรูท แครอท ผักโขม มะเขือเทศ
- ธัญพืชเต็มเมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช
- ชาเขียว ดาร์กช็อกโกแลต และสมุนไพรอย่างขมิ้น พริกไทยดำ ขิง
แทนที่จะพึ่งวิตามินเสริมในกระปุกลองให้จานข้าวของคุณทำหน้าที่เป็นยาดีท็อกซ์ประจำวัน ด้วยการเลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติเป็นหลัก เพราะการศึกษาจำนวนมากพบว่า อาหารทั้งชนิดให้ผลดีกว่าสารสกัดที่แยกเดี่ยวในรูปแบบเม็ด สรุปคือถ้าอยากให้ร่างกายจัดการกับของเสียได้ดีขึ้นก็ควรส่งอาวุธอย่างอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระลงไปช่วยทุกวัน