Search
Close this search box.

Obesity หรือ โรคอ้วน คืออะไร?

2 นาที

15/09/2024

แชร์เนื้อหา:

แพ็คเกจที่คุณอาจสนใจ

ปกติ 24,820 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท

ปกติ 28,500 บาท ลดเหลือ 17,500 บาท

ปกติ 16,500 บาท ลดเหลือ 9,900 บาท

ในยุคที่การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป การทำงานนั่งโต๊ะเป็นเวลานาน และการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลอรี่ ทำให้โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับคนไทย องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประเทศไทยมีอัตราการเกิดโรคอ้วนสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียน รองจากมาเลเซีย โดยคนไทยเกือบหนึ่งในสามกำลังเผชิญกับปัญหานี้

แต่โรคอ้วนคืออะไรกันแน่? โรคอ้วนเกิดจากการที่ร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยดัชนีมวลกาย (BMI) โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวหารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง หาก BMI อยู่ระหว่าง 23.0-24.9 ถือว่ามีน้ำหนักเกิน และหากมากกว่า 25 ขึ้นไป ถือว่าเป็นโรคอ้วน

โรคอ้วน (Obesity) คืออะไร?

โรคอ้วน (Obesity) คืออะไร?

โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกิดจากการสะสมไขมันในร่างกายมากเกินความจำเป็น จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ การวินิจฉัยโรคอ้วนสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้:

1. ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI)

BMI เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการประเมินภาวะอ้วน โดยคำนวณจากสูตร: BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร))² ตัวอย่าง: หากมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม และส่วนสูง 1.70 เมตร BMI = 70 / (1.70 x 1.70) = 70 / 2.89 = 24.22 เกณฑ์การวินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย รวมถึงคนไทย มีดังนี้:

  • BMI ต่ำกว่า 18.5: น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
  • BMI 18.5 – 22.9: น้ำหนักปกติ
  • BMI 23.0 – 24.9: น้ำหนักเกิน
  • BMI 25.0 – 29.9: โรคอ้วนระดับ 1
  • BMI 30.0 ขึ้นไป: โรคอ้วนระดับ 2

2. การวัดเส้นรอบเอว

  • สำหรับผู้ชาย: เส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม. ถือว่าอ้วนลงพุง
  • สำหรับผู้หญิง: เส้นรอบเอวมากกว่า 80 ซม. ถือว่าอ้วนลงพุง

3. การวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย:

  • สำหรับผู้ชาย: ไขมันในร่างกายมากกว่า 25% ถือว่าอ้วน
  • สำหรับผู้หญิง: ไขมันในร่างกายมากกว่า 32% ถือว่าอ้วน

สาเหตุของโรคอ้วน (Obesity) คืออะไร?

สาเหตุของโรคอ้วน (Obesity) คืออะไร?

สาเหตุของโรคอ้วนมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ปัจจัยหลักคือความไม่สมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับและพลังงานที่ใช้ไป การบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูง โดยเฉพาะอาหารแปรรูปและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ร่วมกับการมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญของการสะสมไขมันในร่างกาย

ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนทำให้บางคนมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนได้ง่ายกว่าคนอื่น นอกจากนี้ ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือภาวะคุชชิ่ง ก็สามารถส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานและการสะสมไขมัน

ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า ยากันชัก หรือยาสเตียรอยด์ อาจมีผลข้างเคียงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ปัจจัยทางจิตใจ เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวล อาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เช่น การกินเพื่อควบคุมอารมณ์

ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การเข้าถึงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ง่าย หรือลักษณะงานที่ต้องนั่งนานๆ ก็มีส่วนส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วนได้เช่นกัน

โรคอ้วน 6 ประเภท มีอะไรบ้าง?

  • โรคอ้วนจากการรับประทานมากเกินไป (Overeating Obesity): เกิดจากการบริโภคแคลอรี่มากเกินความต้องการของร่างกาย
  • โรคอ้วนจากความเคยชิน (Habitual Obesity): เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินจุบจิบ หรือกินตามอารมณ์
  • โรคอ้วนจากการเคลื่อนไหวน้อย (Sedentary Obesity): เกิดจากการมีกิจกรรมทางกายน้อยเกินไป ทำให้เผาผลาญพลังงานไม่เพียงพอ
  • โรคอ้วนจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Obesity): เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ
  • โรคอ้วนจากยา (Drug-induced Obesity): เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า หรือยาสเตียรอยด์
  • โรคอ้วนทางพันธุกรรม (Genetic Obesity): เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนัก

สถานการณ์โรคอ้วนในประเทศไทย

จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตโรคอ้วนที่น่าวิตก โดยมีอัตราการเกิดโรคอ้วนสูงเป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียน รองจากมาเลเซีย ตัวเลขที่น่าตกใจคือคนไทยเกือบหนึ่งในสามกำลังประสบปัญหานี้ สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยในยุคปัจจุบัน ทั้งการบริโภคอาหารจานด่วน อาหารแปรรูปที่มีแคลอรี่สูง และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ประกอบกับการมีกิจกรรมทางกายที่ลดลง เนื่องจากการทำงานที่ต้องนั่งนานและการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ค่านิยมการกินอาหารจุบจิบ การรับประทานอาหารเป็นกิจกรรมทางสังคม และการมองว่าความอ้วนเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ก็มีส่วนทำให้ปัญหานี้ทวีความรุนแรง ผลกระทบของโรคอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนมีมูลค่ามหาศาล

การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการส่งเสริมการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของโรคอ้วน นอกจากนี้ การออกนโยบายสาธารณะ เช่น การควบคุมการโฆษณาอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน

อันตรายจากโรคอ้วน

โรคอ้วนไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรูปร่างและบุคลิกภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่เรียกว่า “โรคร่วมจากความอ้วน” ได้แก่:

  1. โรคหัวใจและหลอดเลือด: ความอ้วนทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เสี่ยงต่อภาวะหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ
  2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2: เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. โรคทางเดินหายใจ: เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการนอนและสุขภาพโดยรวม
  4. โรคตับ: เสี่ยงต่อภาวะไขมันเกาะตับ และในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ
  5. ปัญหากระดูกและข้อ: โดยเฉพาะข้อที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น หลัง สะโพก และเข่า ทำให้เกิดอาการปวดและข้อเสื่อมก่อนวัยอันควร
  6. มะเร็งบางชนิด: เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

วิธีการป้องกันและรักษาโรคอ้วน

การต่อสู้กับโรคอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหากเรามีความมุ่งมั่นและได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง วิธีการที่แนะนำมีดังนี้:

  1. ควบคุมอาหาร:
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ:
    • ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
    • เลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก
    • เพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์
  3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต:
    • ลดเวลาการนั่งนานๆ โดยลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุก 1-2 ชั่วโมง
    • พักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดอาจส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนัก
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
  4. การผ่าตัดลดน้ำหนัก:

ข้อควรระวังในการลดน้ำหนัก

  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำหนักโดยไม่ปรึกษาแพทย์: ยาลดน้ำหนักอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อสุขภาพ
  2. ระวัง “โยโย่เอฟเฟค”: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไปอาจทำให้น้ำหนักกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
  3. ไม่ควรอดอาหาร: การอดอาหารอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น
  4. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้: การลดน้ำหนักที่ดีควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์

บทสรุป

โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในหลายด้าน การป้องกันและรักษาต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน ทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมประจำวัน การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยต้องใช้เวลาและความอดทน ควรตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ การดูแลสุขภาพไม่เพียงป้องกันโรคอ้วน แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และเพิ่มพลังในการใช้ชีวิต

การลงทุนกับสุขภาพจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับตัวเราและคนที่เรารัก แม้จะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

สุทธวดี สุขเจริญสิน

Sutawadee Sukcharoensin

ประวัติการศึกษา

Master's degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor's degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine, Orthopaedic

บทความที่น่าสนใจ