Search
Close this search box.

ฉีดวิตามินผิว ทำกี่ครั้งจึงเห็นผล?

แชร์เนื้อหา:

แพ็คเกจที่คุณอาจสนใจ

ปกติ 24,820 บาท ลดเหลือ 15,000 บาท

ปกติ 28,500 บาท ลดเหลือ 17,500 บาท

ปกติ 16,500 บาท ลดเหลือ 9,900 บาท

หน้าหมองคล้ำ ผิวไม่ใสทำยังไงดี? บอกได้เลยว่าปัญหาเรื่องผิวเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้ง การมีสุขภาพที่ดีจากการทานอาหารหรือการอออกกำลังกายอาจจะช่วยให้สุขภาพผิวดี แต่การเติมวิตามินเข้าสู่ร่างกาย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้

โดยการฉีดวิตามินผิวจะช่วยฟื้นฟูรักษาปัญหาผิว ที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งปัจจุบันการฉีดวิตามินผิวกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2024 ที่ผู้คนอยากมีผิวสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น ทำให้ในวันนี้ Welida Health จึงรวบรวมข้อมูลทั้งประโยชน์และข้อดีและข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว รวมถึงพิจารณาแนวทางการดูแลผิวระยะยาวประกอบการตัดสินใจแก่คุณกัน

ฉีดวิตามิน คืออะไร?

ฉีดวิตามินคืออะไร?

การฉีดวิตามินหรือดริปวิตามิน (IV Drip) คือ กระบวนการที่นำสารสกัดวิตามินที่เข้มข้นเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง เพื่อซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง เสริมภูมิต้านทาน และสร้างคอลลาเจนเพื่อผิวกลับมาสดใสมากยิ่งขึ้นได้ดีขึ้น วิตามินและสารอาหารอื่นๆ ที่รวมอยู่ใน IV Drip มีบทบาทสำคัญในการบำรุงร่างกายจากภายใน โดยการเพิ่มปริมาณสารอาหารที่สำคัญแก่สุขภาพผ่านทางเส้นเลือดดำทางหลอดน้ำเกลือส่วนตัว

วิตามินที่ฉีด มีอะไรบ้าง?

การฉีดวิตามินผิวในปัจจุบันมี 2 รูปแบบหลักคือการฉีดวิตามินผิวแบบเข็มไซริงค์ (Microneedling) และการฉีดวิตามินผิวเข้าเส้นเลือดดำบริเวณข้อพับหรือหลังมือเหมือนการให้น้ำเกลือผ่าน IV Drip โดยทั่วไปแล้ว 2 วิธีนี้มีลักษณะการใช้งานและประโยชน์ที่แตกต่างกันดังนี้:

  • การฉีดวิตามินผิวแบบเข็มไซริงค์ (Microneedling):
    • วิธีการ: กระบวนการนี้ใช้เข็มขนาดเล็ก เจาะผิวหนังเบาๆ ได้ทั้งบริเวณใบหน้าและฉีดเข้าสู่เส้นเลือดเพื่อสร้างช่องเปิดบนผิวหนัง ซึ่งช่วยให้สารอาหารและวิตามินที่ใช้ฉีดเข้าไปสามารถซึมซับเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นเพื่เป็นการกระตุ้นให้ผิวสร้างสารอาหารตามธรรมชาติ
    • ประโยชน์: เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับปรุงสภาพผิวหน้า ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากสิว กระชับรูขุมขน และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้า
    • ความเจ็บ: รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความทนทานของแต่ละบุคคล
    • ข้อควรระวัง: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สิวอักเสบ โรคเริม อาจเกิดรอยแดงหรือรอยช้ำหลังการฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
การฉีดวิตามินผิวเข้าเส้นเลือดดำบริเวณข้อพับหรือหลังมือ (IV Drip-like):
  • การฉีดวิตามินผิวเข้าเส้นเลือดดำบริเวณข้อพับหรือหลังมือ (IV Drip-like):
    • วิธีการ: ใช้เส้นเลือดดำในข้อพับหรือหลังมือเพื่อฉีดสารอาหารและวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง
    • ประโยชน์: เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน C, วิตามิน B12, แร่ธาตุ เป็นต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงผิวโดยผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
    • ความเจ็บ: เจ็บน้อยกว่าการฉีดวิตามินผิวแบบเข็มไซริงค์
    • ข้อควรระวัง: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคไต, อาจเกิดอาการแพ้ ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

ฉีดวิตามินผิว กี่ครั้งเห็นผล?

สำหรับการฉีดวิตามินผิวนั้น หากคุณกำลังสงสัยว่าจะต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะเห็นผล คำตอบที่ได้อาจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบุคคล โดยทั่วไปแล้ว การฉีดวิตามินผิวจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีประมาณ 3-4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ ระยะเวลาในการเห็นผลขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

  • สภาพผิว: ผิวที่แห้งกร้าน เสื่อมโทรม มักจะเห็นผลเร็วกว่าผิวที่แข็งแรง
  • ชนิดของวิตามิน: วิตามินบางชนิด เช่น วิตามินซี อาจเห็นผลเร็วกว่าวิตามินบางชนิด
  • ความถี่ในการฉีด: การฉีดสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น
  • การดูแลผิวหลังฉีด: การทาครีมกันแดด ดื่มน้ำ พักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน

หลังจากฉีดวิตามินผิวครั้งแรก มักจะรู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื้น กระจ่างใสขึ้น รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยดูจางลง แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะเริ่มเห็นได้ ประมาณ 1 เดือน ขึ้นไปเมื่อผิวเริ่มมีสุขภาพดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดวิตามินผิวห่างกันมากขึ้น เช่น 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง หรือ 1 เดือนต่อครั้งเพื่อรักษาผลลัพธ์

ปัจจัยการเห็นผลลัพธ์ที่ดีเร็วขึ้น
ความถี่ในการฉีดสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น
สภาพผิวผิวที่แห้งกร้านเสื่อมโทรมจะเห็นผลเร็วกว่าผิวที่แข็งแรง
ชนิดของวิตามินวิตามินบางชนิด (เช่น วิตามินซี) อาจเห็นผลเร็วกว่าวิตามินชนิดอื่นๆ
การดูแลผิวหลังฉีดการทาครีมกันแดด, ดื่มน้ำเพียงพอ, พักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ผลลัพธ์คงทนนานมากขึ้น
เวลาที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนประมาณ 1 เดือนขึ้นไป

วิตามินผิว มีกี่สูตร ?

สูตรวิตามินสำหรับการฉีดเพื่อผิวพรรณมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิกหรือสถานพยาบาล โดยทั่วไปมีสูตรหลักๆ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น สูตรเพื่อผิวกระจ่างใส ผิวขาวใส ผิวเต่งตึง ผิวแห้งและลดสิว โดยที่ Welida Health เรามีวิตามินผิวมีสูตรหลักได้แก่ Derma glow โดยมีคุณประโยชน์มากมายได้แก่:

  • Anti Aging (ชะลอวัย)
  • Anti Oxidant (ต้านอนุมูลอิสระ)
  • Jetlag (เจ็ทแล็ก)
  • Immune Defense (เสริมภูมิ)
  • Focus (โฟกัส ความจำ)
  • Sugar Control (ดักน้ำตาล)
  • After Party (ลดอาการแฮงก์โอเวอร์)
  • Hair (บำรุงเส้นผม)
  • Power (เสริมพลังงาน)

โดยก่อนการฉีดวิตามินผิว ควรตรวจค่าการทำงานของตับและไต และตรวจสุขภาพหลอดเลือด และการผ่อนคลายความเครียดด้วยเทคโนโลยี City escape นอกจากนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 3,200 บาทเท่านั้น

การเตรียมตัวก่อนฉีดวิตามิน

การเตรียมตัวก่อนฉีดวิตามินผิวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด ควรเริ่มจากการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ แจ้งประวัติสุขภาพและการแพ้ยาอย่างละเอียด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนฉีด รวมถึงงดยาบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์ ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดโดยทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ

นอกจากนี้ ควรแจ้งแพทย์ทันทีหากมีการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพก่อนการฉีด เช่น มีไข้หรือติดเชื้อ การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการฉีดวิตามินและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

ข้อห้ามหลังฉีดวิตามินผิว

หลังการฉีดวิตามินผิว มีข้อปฏิบัติสำคัญเพื่อเสริมประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียง ควรประคบเย็นบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดังกล่าวด้วยมือที่ไม่สะอาด ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพื่อช่วยการดูดซึมวิตามิน และทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน

ข้อควรระวัง: อย่าลืมที่จะสังเกตอาการข้างเคียง หลังฉีดวิตามินผิว อาจมีอาการข้างเคียง เช่น รอยแดง บวม คัน หรือ ปวด ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน หากมีอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์:อย่างเคร่งครัด

ข้อดีและข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว

การฉีดวิตามินผิวเป็นวิธีการบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพและเห็นผลได้เร็ว แต่ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายและความเหมาะสมกับสภาพผิวและสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วยความรอบคอบ

ข้อดีข้อเสีย
เห็นผลลัพธ์เร็ว: ภายใน 3-4 ครั้งหลังฉีดราคาแพง: ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับการทาครีมบำรุงผิวทั่วไป
บำรุงผิวได้ลึกถึงชั้นเซลล์ต้องฉีดเป็นประจำ: ทุก 1-4 สัปดาห์
แก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดอาจมีอาการข้างเคียง: รอยแดง, บวม, คัน, หรือปวด
ใช้เวลาไม่นาน: 15-30 นาทีต่อครั้งไม่เหมาะกับทุกคน: ผู้มีโรคประจำตัวบางชนิดหรือกำลังตั้งครรภ์

หากหยุดฉีดวิตามินผิว จะกลับมาผิวหมองคล้ำหรือไม่?

การหยุดฉีดวิตามินผิวโดยทั่วไปไม่ทำให้ผิวกลับมาคล้ำเหมือนก่อนฉีด แต่ผลลัพธ์อาจค่อยๆ จางลง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ สูตรวิตามินที่ใช้ โดยเฉพาะสูตรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยปกป้องผิวได้ยาวนานขึ้น การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทาครีมกันแดด การดื่มน้ำเพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน นอกจากนี้ สภาพผิวของแต่ละบุคคลที่มีการเสื่อมสภาพแตกต่างกันก็มีผลต่อความคงทนของผลลัพธ์ ดังนั้น เพื่อรักษาผิวให้กระจ่างใสยาวนานที่สุดหลังหยุดฉีดวิตามิน ควรดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง และป้องกันผิวจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เช่น แสงแดดและมลภาวะ

การฉีดวิตามินผิวเป็นวิธีการดูแลผิวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2024 โดยมีทั้งข้อดีและข้อควรพิจารณา ข้อดีคือสามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว บำรุงผิวได้ลึกถึงระดับเซลล์ และใช้เวลาไม่นานในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ความจำเป็นในการฉีดอย่างต่อเนื่อง และโอกาสเกิดผลข้างเคียง

การตัดสินใจฉีดวิตามินผิวควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการทาครีมกันแดด การดื่มน้ำ การพักผ่อนให้เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาผิวให้สุขภาพดีในระยะยาว ไม่ว่าจะเลือกฉีดวิตามินผิวหรือไม่ก็ตาม

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง

ชวัลนุช ม่วงประเสิรฐ

Chawannut Muangprasert

ประวัติการศึกษา

Master's degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor's degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology

บทความที่น่าสนใจ