หนองในหายเองได้ไหม? รู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ควรมองข้าม

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ มีนาคม 16, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

โรคหนองในเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง หลายคนอาจมีคำถามว่า หนองในหายเองได้ไหม? หรือ หากไม่ได้รับการรักษาจะเกิดอะไรขึ้น? ในบทความนี้ Welida Health เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหนองใน ตั้งแต่ประเภทของโรค สาเหตุ อาการ และความสำคัญของการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

หนองใน คืออะไร?

หนองใน คืออะไร?

หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ทวารหนัก หรือแม้กระทั่งทางปาก ผู้ที่ติดเชื้ออาจแสดงอาการหรือไม่แสดงอาการก็ได้ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อต่อไปโดยไม่รู้ตัว

จะรู้ได้ไงว่าเป็นหนองใน?

อาการของหนองในอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปจะมีอาการดังต่อไปนี้:

  • ผู้ชาย: มีหนองไหลจากอวัยวะเพศ แสบร้อนขณะปัสสาวะ ปวดหรือบวมที่ลูกอัณฑะ
  • ผู้หญิง: ตกขาวผิดปกติ ปวดแสบเวลาปัสสาวะ เจ็บหรือมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์
  • อาการทั่วไปในทั้งสองเพศ: อาการเจ็บคอหากติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรืออาการคัน ปวด และมีตกขาวผิดปกติหากติดเชื้อบริเวณทวารหนัก

หนองในหายเองได้ไหม?

คำตอบคือ ไม่ หนองในไม่สามารถหายเองได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เชื้อแบคทีเรียจะยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่กระจายต่อไปได้ อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะมีบุตรยาก โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) และการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า หนองในกี่วันหายเอง? หรือคิดว่าหากไม่มีอาการแล้วโรคจะหายไปเอง ความจริงคืออาการอาจทุเลาลงชั่วคราว แต่เชื้อยังคงอยู่และสามารถแพร่กระจายต่อไปยังคู่นอนได้ ดังนั้น ควรรีบพบแพทย์และรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เพื่อกำจัดเชื้ออย่างสมบูรณ์

หนองในมีกี่ประเภท?

“โรคหนองใน” เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็นประมาณร้อยละ 50 ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

  1. หนองในแท้ (Gonorrhea): เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรง มีอาการที่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ชายที่มักมีหนองสีเหลืองหรือสีเขียวขุ่นไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการปัสสาวะแสบขัดและเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ
  2. หนองในเทียม (Nongonococcal Urethritis – NGU): เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น เช่น Chlamydia trachomatis หรือ Mycoplasma genitalium ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ อาการอาจคล้ายกับหนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าและอาจไม่มีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศชัดเจน

ทั้งสองประเภทต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมจากแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าใช้ยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

หนองในแบบไหนที่เรียกว่าอันตราย?

ทุกกรณีของหนองในถือว่าอันตรายหากไม่ได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม กรณีที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:

  • หนองในที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ – ปัจจุบันพบว่ามีหนองในบางสายพันธุ์ที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ซึ่งทำให้การรักษายากขึ้น
  • หนองในที่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่น – เช่น การติดเชื้อในข้อต่อ หัวใจ หรือกระแสเลือด อาจนำไปสู่ภาวะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
  • หนองในในสตรีมีครรภ์ – อาจส่งผลให้ทารกติดเชื้อที่ดวงตาขณะคลอด และอาจทำให้ตาบอดได้หากไม่ได้รับการรักษา

หนองในถ้าไม่รักษาจะเป็นอะไรมั้ย? หากไม่ได้รับการรักษา หนองในสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น:

  • ในผู้ชาย: อาจทำให้เกิดภาวะอัณฑะอักเสบ หรือภาวะมีบุตรยากถาวร
  • ในผู้หญิง: เสี่ยงต่อโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease – PID) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากและการตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • ในทั้งสองเพศ: การแพร่กระจายของเชื้อไปยังอวัยวะอื่นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

บทสรุป

หนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย และ ไม่สามารถหายเองได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาการอาจทุเลาลงแต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถแพร่กระจายต่อไปยังคู่นอนได้ การรักษาหนองในที่ถูกต้องคือการใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและรักษาสุขภาพที่ดีในระยะยาว

หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหนองในโอกาสติดกี่% หรือวิธีการป้องกันเพิ่มเติม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศเพื่อรับข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเสมอ

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

จีณณ์ ตันติพรสิน

Jene Tantipornsin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Lerdsin hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology