นกเขาไม่ขัน ภัยเงียบใกล้ตัวคุณผู้ชาย
บริการที่คุณอาจสนใจ

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “นกเขาไม่ขัน“ เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ชายจำนวนมาก แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ความจริงคือ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ และมักเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ลึกซึ้งกว่านั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ แนวทางป้องกัน และวิธีการรักษาจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกลับมามีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงอีกครั้ง
ภาวะนกเขาไม่ขัน คืออะไร?

ภาวะนกเขาไม่ขัน หรือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) หมายถึง การที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ หรือ ไม่สามารถคงความแข็งตัวได้นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
อาการของ ED อาจรวมถึง:
- ไม่สามารถแข็งตัวได้เลย
- แข็งตัวแต่ไม่เพียงพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์
- แข็งตัวได้ชั่วคราวแต่ไม่สามารถรักษาความแข็งตัวไว้ได้
- มีความต้องการทางเพศลดลงอย่างเห็นได้ชัด
งานวิจัยพบว่า ผู้ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี มีโอกาสเกิดภาวะ ED ประมาณ 1-10% ในขณะที่ ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อัตราการเกิดภาวะนี้สูงถึง 15-40% และยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงก็จะยิ่งมากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ ED
สาเหตุของภาวะนกเขาไม่ขันสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ ปัจจัยทางกายภาพ และ ปัจจัยทางจิตใจ ซึ่งมักมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
1. ปัจจัยทางกายภาพ
- โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง – ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ
- โรคเบาหวาน – ทำให้หลอดเลือดและเส้นประสาทเสื่อมสภาพ
- ภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ – ส่งผลต่อความต้องการทางเพศ
- โรคอ้วน – เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – ทำให้หลอดเลือดหดตัวและระบบประสาทเสื่อมลง
2. ปัจจัยทางจิตใจ
- ความเครียดและวิตกกังวล – ส่งผลต่อสมองและระบบประสาทที่ควบคุมการแข็งตัว
- ภาวะซึมเศร้า – ทำให้ระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศลดลง
- ปัญหาความสัมพันธ์ – ความขัดแย้งในชีวิตคู่สามารถกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศได้
แนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะ ED
การป้องกันภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้น ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต และช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของ ED งานวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ชายที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะมีสมรรถภาพทางเพศที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยส่งเสริมสุขภาพของหลอดเลือดและลดการอักเสบซึ่งอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ ในทางตรงกันข้าม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารแปรรูป และน้ำตาลในปริมาณมาก เพราะอาหารเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของ ED
การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม ความเครียดเรื้อรังและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศทำงานผิดปกติ การหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ สามารถช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายได้
การหลีกเลี่ยง พฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เป็นสิ่งที่จำเป็น บุหรี่มีสารพิษที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ขณะที่แอลกอฮอล์หากบริโภคในปริมาณมากเกินไป อาจกดระบบประสาทและลดระดับฮอร์โมนเพศชาย ทำให้เกิดปัญหาทางสมรรถภาพทางเพศได้
สุดท้าย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ เป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถป้องกันภาวะ ED ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหรืออาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและเริ่มต้นการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น
แนวทางการวินิจฉัยและรักษา ED
แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุของภาวะ ED โดยอาจใช้วิธีต่อไปนี้:
- ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม
- ตรวจหลอดเลือดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound)
- การตรวจทางจิตเวชเพื่อประเมินภาวะเครียดหรือซึมเศร้า
แนวทางการรักษา ED
- การใช้ยา – ยากลุ่ม PDE5 inhibitors เช่น ไวอากร้า (Sildenafil) และ ทาดาลาฟิล (Tadalafil) ช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- การบำบัดด้วยคลื่นช็อกเวฟ (Shockwave Therapy) – ใช้คลื่นเสียงความถี่ต่ำกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่และฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย
- การรักษาด้วย PRP (Platelet-Rich Plasma) – ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อฟื้นฟูเซลล์และเพิ่มประสิทธิภาพของการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ
- การบำบัดด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy) – เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ
- การผ่าตัดใส่แกนอวัยวะเพศเทียม (Penile Implant) – สำหรับผู้ที่มีภาวะ ED รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
สรุป
ภาวะนกเขาไม่ขันเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การดูแลสุขภาพกายและใจ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของ ED หากพบว่ามีอาการ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม Welida Health พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณด้วยแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยและทันสมัย เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงอีกครั้ง