นกเขาไม่ขัน ภัยเงียบใกล้ตัวคุณผู้ชาย

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ มีนาคม 16, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ นกเขาไม่ขัน เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ชายจำนวนมาก แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น แต่ความจริงคือ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ และมักเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ลึกซึ้งกว่านั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ แนวทางป้องกัน และวิธีการรักษาจะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถกลับมามีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงอีกครั้ง

ภาวะนกเขาไม่ขัน คืออะไร?

ภาวะนกเขาไม่ขัน คืออะไร?

ภาวะนกเขาไม่ขัน หรือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) หมายถึง การที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวได้เต็มที่ หรือ ไม่สามารถคงความแข็งตัวได้นานพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวได้ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

อาการของ ED อาจรวมถึง:

  • ไม่สามารถแข็งตัวได้เลย
  • แข็งตัวแต่ไม่เพียงพอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์
  • แข็งตัวได้ชั่วคราวแต่ไม่สามารถรักษาความแข็งตัวไว้ได้
  • มีความต้องการทางเพศลดลงอย่างเห็นได้ชัด

งานวิจัยพบว่า ผู้ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี มีโอกาสเกิดภาวะ ED ประมาณ 1-10% ในขณะที่ ผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อัตราการเกิดภาวะนี้สูงถึง 15-40% และยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงก็จะยิ่งมากขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ ED

สาเหตุของภาวะนกเขาไม่ขันสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ ปัจจัยทางกายภาพ และ ปัจจัยทางจิตใจ ซึ่งมักมีผลกระทบซึ่งกันและกัน

1. ปัจจัยทางกายภาพ

  • โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง – ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ
  • โรคเบาหวาน – ทำให้หลอดเลือดและเส้นประสาทเสื่อมสภาพ
  • ภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ – ส่งผลต่อความต้องการทางเพศ
  • โรคอ้วน – เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป – ทำให้หลอดเลือดหดตัวและระบบประสาทเสื่อมลง

2. ปัจจัยทางจิตใจ

  • ความเครียดและวิตกกังวล – ส่งผลต่อสมองและระบบประสาทที่ควบคุมการแข็งตัว
  • ภาวะซึมเศร้า – ทำให้ระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศลดลง
  • ปัญหาความสัมพันธ์ – ความขัดแย้งในชีวิตคู่สามารถกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศได้

แนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะ ED

การป้องกันภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้น ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดความดันโลหิต และช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของ ED งานวิจัยทางการแพทย์พบว่าผู้ชายที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะมีสมรรถภาพทางเพศที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือด

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยส่งเสริมสุขภาพของหลอดเลือดและลดการอักเสบซึ่งอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศ ในทางตรงกันข้าม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง อาหารแปรรูป และน้ำตาลในปริมาณมาก เพราะอาหารเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของ ED

การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม ความเครียดเรื้อรังและการพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และทำให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศทำงานผิดปกติ การหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ สามารถช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายได้

การหลีกเลี่ยง พฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เป็นสิ่งที่จำเป็น บุหรี่มีสารพิษที่ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ขณะที่แอลกอฮอล์หากบริโภคในปริมาณมากเกินไป อาจกดระบบประสาทและลดระดับฮอร์โมนเพศชาย ทำให้เกิดปัญหาทางสมรรถภาพทางเพศได้

สุดท้าย การตรวจสุขภาพเป็นประจำ เป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถป้องกันภาวะ ED ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงหรืออาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและเริ่มต้นการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น

แนวทางการวินิจฉัยและรักษา ED

แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุของภาวะ ED โดยอาจใช้วิธีต่อไปนี้:

  • ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนและสุขภาพโดยรวม
  • ตรวจหลอดเลือดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound)
  • การตรวจทางจิตเวชเพื่อประเมินภาวะเครียดหรือซึมเศร้า

แนวทางการรักษา ED

  1. การใช้ยา – ยากลุ่ม PDE5 inhibitors เช่น ไวอากร้า (Sildenafil) และ ทาดาลาฟิล (Tadalafil) ช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
  2. การบำบัดด้วยคลื่นช็อกเวฟ (Shockwave Therapy) – ใช้คลื่นเสียงความถี่ต่ำกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่และฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย
  3. การรักษาด้วย PRP (Platelet-Rich Plasma) – ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อฟื้นฟูเซลล์และเพิ่มประสิทธิภาพของการไหลเวียนเลือดไปยังอวัยวะเพศ
  4. การบำบัดด้วยฮอร์โมน (Hormone Therapy) – เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ
  5. การผ่าตัดใส่แกนอวัยวะเพศเทียม (Penile Implant) – สำหรับผู้ที่มีภาวะ ED รุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น

สรุป

ภาวะนกเขาไม่ขันเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันและรักษาได้ การดูแลสุขภาพกายและใจ การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของ ED หากพบว่ามีอาการ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม Welida Health พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณด้วยแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยและทันสมัย เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพทางเพศที่แข็งแรงอีกครั้ง

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

จีณณ์ ตันติพรสิน

Jene Tantipornsin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Lerdsin hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine,Aesthetic dermatology