การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma หรือ PRP) คืออะไร? ช่วยรักษาอะไรได้บ้าง?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การรักษาด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma หรือ PRP) ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศและรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไป งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า PRP มีศักยภาพในการฟื้นฟูเส้นเลือดและกระตุ้นเซลล์ใหม่ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาภาวะ ED โดยไม่ต้องพึ่งยา
ที่ Welida Health เรามุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและปลอดภัย โดยการฉีด PRP ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูจากต้นเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาปัญหาด้านสมรรถภาพทางเพศ ลดอาการปวดข้อเข่า หรือการฟื้นฟูผิวพรรณ ให้คุณกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
PRP คืออะไร และทำงานอย่างไร?

PRP คือ พลาสมาที่ได้จากเลือดของผู้ป่วยเอง โดยผ่านกระบวนการปั่นแยกเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น จากนั้นนำไป ฉายแสง (Photoactivation) เพื่อกระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด ก่อนที่จะฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายในบริเวณที่ต้องการรักษา ซึ่ง PRP มีโปรตีนและปัจจัยการเจริญเติบโต (Growth Factors) ที่ช่วยเร่งการซ่อมแซมเซลล์และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า PRP สามารถช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การศึกษาใน The American Journal of Sports Medicine พบว่า PRP ช่วยเร่งการฟื้นตัวของเอ็นที่ได้รับบาดเจ็บ และช่วยลดอาการปวดข้อในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ
PRP ช่วยรักษาอะไรได้บ้าง?
งานวิจัยทางการแพทย์หลายฉบับยืนยันว่า PRP มีศักยภาพในการรักษาและฟื้นฟูเนื้อเยื่อในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดอาการทางกระดูกและข้อ การฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ หรือแม้แต่การเสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณ งานวิจัยจาก Stem Cells Translational Medicine ระบุว่า PRP มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้เซลล์ในร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น
การฉีด PRP ถูกนำมาใช้รักษาในหลากหลายด้าน เช่น:
1. ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED)
PRP ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิธีการรักษา ED ที่มีแนวโน้มได้ผลดี จากงานวิจัยของ The Journal of Sexual Medicine พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย PRP มีการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศกลับมาดีขึ้น และความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
2. โรคข้อเข่าเสื่อม และอาการบาดเจ็บของข้อ
มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The American Journal of Sports Medicine รายงานว่า PRP สามารถช่วยลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ โดยกลุ่มผู้ที่ได้รับการฉีด PRP แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาของกระดูกอ่อนข้อเข่า และมีอาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหรือการรักษาแบบอื่น
3. การบาดเจ็บของเอ็นและกล้ามเนื้อ
PRP ถูกนำมาใช้เป็นวิธีการฟื้นฟูในนักกีฬามืออาชีพเพื่อลดระยะเวลาการพักฟื้นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่บาดเจ็บ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Clinical Journal of Sports Medicine แสดงให้เห็นว่า PRP สามารถช่วยซ่อมแซมเส้นเอ็นร้อยหวายที่ได้รับบาดเจ็บ และลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. การฟื้นฟูผิวหน้า (PRP หน้าใส)
การใช้ PRP ในวงการความงามได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการศึกษาหลายฉบับ เช่น การทดลองทางคลินิกที่ตีพิมพ์ใน Journal of Cosmetic Dermatology ซึ่งพบว่า PRP สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
PRP จึงไม่เพียงแต่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและโรคทางกระดูกข้อเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศและสุขภาพผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
การฉีด PRP ถูกนำมาใช้ในการรักษาหลายด้าน ตั้งแต่การบำบัดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไปจนถึงการรักษาอาการบาดเจ็บของข้อต่อและกล้ามเนื้อ ในทางเวชศาสตร์การกีฬา PRP ถูกใช้เพื่อช่วยให้นักกีฬาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับความนิยมในวงการความงาม เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระบวนการรักษาด้วย PRP

กระบวนการฉีด PRP เป็นหัตถการที่ไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยขั้นตอนหลักของการรักษามีดังนี้:
- การเจาะเลือดและสกัด PRP ผู้ป่วยจะได้รับการเจาะเลือดในปริมาณเล็กน้อย (ประมาณ 10-30 มิลลิลิตร ขึ้นอยู่กับจุดที่ทำการรักษา) จากนั้นนำเลือดไปปั่นแยกด้วยเครื่องเหวี่ยงแรงสูง (Centrifuge) เพื่อแยกพลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดออกจากส่วนประกอบอื่น ๆ ของเลือด เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาว กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
- การกระตุ้นเกล็ดเลือด (Photoactivation หรือ การใช้สารกระตุ้นอื่น ๆ) เมื่อนำพลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้นออกมาแล้ว แพทย์อาจใช้วิธีฉายแสง (Photoactivation) หรือสารกระตุ้นบางชนิด เช่น แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride) หรือทรอมบิน (Thrombin) เพื่อกระตุ้นการทำงานของปัจจัยการเจริญเติบโตที่อยู่ใน PRP ทำให้ PRP พร้อมสำหรับการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ
- การฉีด PRP กลับเข้าสู่ร่างกาย PRP ที่เตรียมไว้จะถูกฉีดกลับเข้าสู่บริเวณที่ต้องการรักษา เช่น ข้อเข่า อวัยวะเพศ หรือผิวหน้า ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษา การฉีดอาจใช้เทคนิคพิเศษ เช่น การใช้เครื่องอัลตราซาวด์นำทาง (Ultrasound-Guided Injection) เพื่อให้แน่ใจว่า PRP ถูกฉีดในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด
- ระยะเวลาฟื้นตัวและการติดตามผล หลังจากฉีด PRP แล้ว ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีอาจมีอาการบวมแดงหรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 วัน แพทย์อาจแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นเวลาสองสามวัน หลังจากนั้นจะมีการนัดติดตามผลเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษา และในบางกรณีอาจต้องฉีดซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
กระบวนการฉีด PRP เริ่มจากการเจาะเลือดผู้ป่วยในปริมาณเล็กน้อย จากนั้นนำไปผ่านการปั่นแยกเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูง หลังจากนั้น แพทย์จะนำพลาสมาที่ได้ไปฉายแสงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ก่อนจะฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายในบริเวณที่ต้องการรักษา ทั้งนี้กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียง 30 – 60 นาที และไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
PRP อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปผลลัพธ์ของ PRP จะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล เช่น อายุ ระดับสุขภาพ และตำแหน่งที่ทำการรักษา หากใช้ PRP เพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อม อาจต้องฉีดซ้ำทุก 6 เดือนเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ ในขณะที่ PRP สำหรับการฟื้นฟูผิวหน้าอาจต้องทำซ้ำทุก 3 – 6 เดือนเพื่อรักษาสภาพผิวที่ดี
ข้อดีของการฉีด PRP
การฉีด PRP เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่ใช้หลักการทางธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีหรือการผ่าตัด ซึ่งทำให้มีข้อดีหลายประการ เช่น:
- กระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อโดยธรรมชาติ – PRP อุดมไปด้วยปัจจัยการเจริญเติบโตที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์และฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย
- ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ – เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเอง โอกาสเกิดอาการแพ้หรือปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่พึงประสงค์จึงน้อยมาก
- ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด – PRP ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งมีส่วนช่วยให้บริเวณที่รักษามีการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
- ช่วยลดอาการอักเสบและปวดเรื้อรัง – งานวิจัยหลายฉบับระบุว่า PRP มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมหรือบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเอ็น
- สามารถใช้รักษาได้หลากหลาย – นอกจากการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศแล้ว PRP ยังสามารถใช้ฟื้นฟูข้อเข่าเสื่อม รักษาอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็น และใช้ในวงการความงามเพื่อฟื้นฟูผิวหน้าได้อีกด้วย
ข้อเสียของการฉีด PRP
แม้ว่า PRP จะเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยเพราะใช้เลือดของผู้ป่วยเอง แต่ก็ยังมีข้อควรระวังที่ควรพิจารณา เช่น ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยบางรายอาจต้องฉีดหลายครั้งก่อนจะเห็นผลชัดเจน นอกจากนี้ การฉีด PRP ควรดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากเทคนิคการฉีดมีผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาโดยตรง หากทำโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง หรืออาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวมแดง หรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด
ค่าใช้จ่ายในการฉีด PRP
ราคาของ PRP อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและบริเวณที่ทำการรักษา โดยทั่วไปมีช่วงราคาดังนี้:
- การฉีด PRP เพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อม: 10,000 – 30,000 บาทต่อครั้ง
- การฉีด PRP เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ: 15,000 – 40,000 บาทต่อครั้ง
- การฉีด PRP เพื่อฟื้นฟูผิวหน้า: 8,000 – 20,000 บาทต่อครั้ง
สรุป
PRP เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูร่างกายโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีหรือการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ รักษาข้อเข่าเสื่อม หรือดูแลสุขภาพผิว Welida Health พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด