รู้จัก การปลูกถ่ายไขกระดูก (Stem Cell) และผลข้างเคียง (อัปเดต 2025)

ความรู้

บทความ

หมวดหมู่

อัพเดทเมื่อ March 8, 2025

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายบริการลูกค้าเวลิด้า

การปลูกถ่ายไขกระดูก (Bone Marrow Transplant: BMT) หรือ การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด เป็นกระบวนการรักษาทางการแพทย์ที่ใช้แทนที่เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่ผิดปกติหรือเสียหาย ซึ่งอาจเกิดจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ หรือภาวะโลหิตวิทยาอื่น ๆ ขั้นตอนของการปลูกถ่ายไขกระดูกเริ่มจากการทำลายเซลล์ต้นกำเนิดที่มีปัญหาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด แล้วจึงทำการถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดที่แข็งแรงเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยผ่านทางหลอดเลือดดำ กระบวนการนี้คล้ายกับการให้เลือดหรือสารน้ำทางเส้นเลือด ซึ่งเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้รับจะเข้าไปฟื้นฟูระบบการสร้างเม็ดเลือดใหม่ให้เป็นปกติ

โดยปกติ การปลูกถ่ายไขกระดูกต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ป่วยและประเภทของการปลูกถ่าย หลังจากนั้นยังต้องได้รับการดูแลติดตามผลอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน ทั้งนี้ กระบวนการนี้มีความเสี่ยง เช่น ภาวะติดเชื้อหรือภาวะร่างกายปฏิเสธเซลล์ใหม่ หากได้รับการปลูกถ่ายจากผู้บริจาค อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดลงได้หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและได้รับการดูแลที่เหมาะสม ค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายไขกระดูกแตกต่างกันไปตามประเภทของการปลูกถ่ายและโรงพยาบาลที่ให้บริการ โดยอาจมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ หลักแสนไปจนถึงหลักล้านบาท การปลูกถ่ายจากผู้บริจาคมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้เซลล์ต้นกำเนิดของตนเอง

ประเภทของการปลูกถ่ายไขกระดูก

ประเภทของการปลูกถ่ายไขกระดูก

การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ใช้ทดแทนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่เสียหายหรือผิดปกติ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ตามแหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิด ได้แก่ Autologous Transplant และ Allogeneic Transplant โดยแต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน

1. การปลูกถ่ายไขกระดูกแบบออโตโลกัส (Autologous Transplant)

การปลูกถ่ายแบบออโตโลกัสเป็นการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายของผู้ป่วยเอง โดยแพทย์จะทำการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดที่แข็งแรงของผู้ป่วยก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด เซลล์เหล่านี้จะถูกนำไปแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาไว้ เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ทำลายเซลล์ไขกระดูกที่มีปัญหาแล้ว เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บไว้จะถูกปลูกถ่ายกลับเข้าสู่ร่างกาย

ข้อดีของวิธีนี้คือ ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะที่ร่างกายปฏิเสธเซลล์ใหม่ (Graft-versus-Host Disease หรือ GVHD) เนื่องจากเป็นเซลล์ของตนเอง อีกทั้งยังลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อย่างไรก็ตาม ข้อเสียสำคัญของการปลูกถ่ายแบบออโตโลกัสคือ อาจมีการปนเปื้อนของเซลล์มะเร็ง หากเซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บไว้มีกลุ่มเซลล์มะเร็งแฝงอยู่ อาจทำให้โรคกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต วิธีนี้มักใช้กับโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับเซลล์ต้นกำเนิดโดยตรง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) และมะเร็งไขกระดูก (Multiple Myeloma)

2. การปลูกถ่ายไขกระดูกแบบอัลโลจีนิก (Allogeneic Transplant)

การปลูกถ่ายแบบอัลโลจีนิกเป็นกระบวนการที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจาก ผู้บริจาคที่มีความเข้ากันได้ กับผู้ป่วย ซึ่งอาจเป็นพี่น้อง สมาชิกในครอบครัว หรือแม้แต่ผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติกัน แต่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ตรงกัน (Human Leukocyte Antigen หรือ HLA) เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้จะถูกปลูกถ่ายเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยหลังจากที่ไขกระดูกเดิมถูกทำลายด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด

ข้อดีของการปลูกถ่ายแบบอัลโลจีนิกคือ ลดโอกาสการปนเปื้อนของเซลล์มะเร็ง และสามารถใช้รักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับไขกระดูกโดยตรง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Leukemia) และโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia) อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้มีข้อเสียที่สำคัญคือ ความเสี่ยงที่ร่างกายจะปฏิเสธเซลล์ใหม่และเกิดภาวะ GVHD ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ได้รับเซลล์จากผู้บริจาคต้องใช้ ยากดภูมิคุ้มกัน เป็นระยะเวลานานเพื่อลดความเสี่ยงของการปฏิเสธเซลล์

การเลือกประเภทของการปลูกถ่ายไขกระดูกขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ประเภทของโรค และความพร้อมของผู้บริจาค แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษา

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร?

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร?

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ตามความต้องการของร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์ประสาท Stem Cell ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเจริญเติบโตและฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

ประเภทของ Stem Cell

Stem Cell สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  • Embryonic Stem Cells (ESCs) – สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดใดก็ได้ ทำให้มีความสามารถในการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่าง ๆ
  • Adult Stem Cells – พบในร่างกายของผู้ใหญ่ เช่น ไขกระดูก และเนื้อเยื่อไขมัน สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์เฉพาะทางได้ในระดับหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดมากกว่าสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน
  • Induced Pluripotent Stem Cells (iPSCs) – สเต็มเซลล์ที่ถูกปรับแต่งทางพันธุกรรมให้มีคุณสมบัติคล้ายกับเซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน สามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกัน

วิธีฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย

วิธีฟื้นฟูเซลล์ในร่างกาย

ร่างกายสามารถฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหายได้เองโดยใช้กระบวนการธรรมชาติ รวมถึงการใช้สเต็มเซลล์เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ วิธีการที่ช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูเซลล์ ได้แก่:

  • การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และอาหารที่มีโอเมก้า-3
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและการสร้างเซลล์ใหม่
  • การพักผ่อนที่เพียงพอและการลดความเครียด ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและการฟื้นฟูเซลล์
  • การใช้ Stem Cell Therapy หรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

ความสำคัญของการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด

เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cells) เป็นเซลล์ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงสามารถแบ่งตัวและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ ด้วยคุณสมบัตินี้ ทำให้เซลล์ต้นกำเนิดมีบทบาทสำคัญในการแพทย์ฟื้นฟูและการรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ

1. ศักยภาพในการรักษาโรค

เซลล์ต้นกำเนิดสามารถนำมาใช้รักษาโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือดและภูมิคุ้มกัน เช่น

  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
  • โรคโลหิตจางแต่กำเนิด (Thalassemia)
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (SCID – Severe Combined Immunodeficiency)
  • ภาวะไขกระดูกล้มเหลว (Aplastic Anemia)

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคอื่นๆ เช่น เบาหวานชนิดที่ 1 โรคพาร์กินสัน และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

2. แหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิด

การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสามารถทำได้จากหลายแหล่ง ได้แก่

  • สายสะดือของทารกแรกเกิด – เป็นแหล่งที่นิยมมากที่สุด เพราะการเก็บเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและไม่มีผลกระทบต่อแม่และเด็ก
  • ไขกระดูก – ใช้ในการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด แต่ต้องผ่านกระบวนการเจาะไขกระดูก
  • กระแสเลือด – สามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ต้นกำเนิดออกสู่กระแสเลือด แล้วจึงนำมาแยกออก

3. ประโยชน์ของการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด

  • เป็นประกันสุขภาพในอนาคต – การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดไว้ สามารถนำมาใช้รักษาตนเองหรือสมาชิกในครอบครัวได้ในอนาคต
  • เพิ่มโอกาสในการรักษา – การมีสเต็มเซลล์ที่ตรงกันช่วยลดโอกาสการต่อต้านจากร่างกายเมื่อมีการปลูกถ่าย
  • เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง – มีงานวิจัยใหม่ๆ ที่อาจช่วยให้สามารถนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้รักษาโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาในปัจจุบัน

4. การตัดสินใจเก็บเซลล์ต้นกำเนิด

การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดต้องดำเนินการผ่านธนาคารสเต็มเซลล์ที่ได้รับการรับรอง ซึ่งมีทั้งแบบ ธนาคารสาธารณะ (บริจาคเพื่อใช้ในวงกว้าง) และ ธนาคารส่วนตัว (เก็บไว้ใช้สำหรับครอบครัว) การลงทุนในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเป็นการวางแผนเพื่อสุขภาพระยะยาว แม้ว่าปัจจุบันการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดจะยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมในหลายด้าน แต่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์อาจทำให้เทคนิคนี้กลายเป็นแนวทางหลักในการรักษาโรคที่ซับซ้อนในอนาคต

วิธีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด

วิธีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิด

การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะทางและดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้เซลล์ที่มีคุณภาพและสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต วิธีการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดสามารถทำได้จากแหล่งที่มาต่างๆ โดยแหล่งที่นิยมมากที่สุดคือเลือดจากสายสะดือทารกแรกเกิด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อแม่และเด็ก หลังจากทารกคลอด แพทย์จะเก็บเลือดจากสายสะดือแล้วนำไปสกัดเซลล์ต้นกำเนิด ก่อนจะทำการแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาในธนาคารสเต็มเซลล์ วิธีนี้ได้รับความนิยมเพราะสะดวกและสามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดนี้ได้ในอนาคตหากมีความจำเป็น

นอกจากเลือดสายสะดือแล้ว เซลล์ต้นกำเนิดยังสามารถเก็บได้จากไขกระดูก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีสเต็มเซลล์ที่มีคุณสมบัติสูง แต่กระบวนการเก็บค่อนข้างซับซ้อนและต้องทำภายใต้ยาชา โดยแพทย์จะใช้เข็มพิเศษดูดไขกระดูกจากกระดูกสะโพกของผู้บริจาคแล้วนำไปสกัดแยกเซลล์ต้นกำเนิด การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากกระแสเลือดก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง โดยใช้สารกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่กระแสเลือดก่อนจะนำออกมาแยกและเก็บรักษา วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะไม่ต้องผ่าตัดและลดความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ปริมาณเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้อาจน้อยกว่าการเก็บจากไขกระดูก

สเต็มเซลล์กับความงาม

ในวงการความงาม เซลล์ต้นกำเนิดมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ โดยมีการนำมาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์ขึ้น เทคนิคนี้มักใช้กับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ใช้สารสกัดจากเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและลดเลือนจุดด่างดำ

อีกหนึ่งเทคนิคที่กำลังได้รับความสนใจคือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อฟื้นฟูผิว โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเองมาช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย วิธีนี้มีศักยภาพในการรักษาปัญหาผิวที่ลึกกว่าการใช้ครีมหรือเซรั่มทั่วไป เช่น การรักษาแผลเป็นจากสิวหรือรอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม การใช้สเต็มเซลล์ในด้านความงามยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนาและอาจมีข้อจำกัดในบางด้าน

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการปลูกถ่ายไขกระดูก

การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะที่ร่างกายปฏิเสธเซลล์ต้นกำเนิดใหม่ หรือที่เรียกว่า Graft-versus-Host Disease (GVHD) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์ที่ปลูกถ่ายโจมตีเซลล์ของผู้ป่วยเอง อาการอาจมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น ผื่นคัน หรืออาการรุนแรงที่ส่งผลต่ออวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ลำไส้ และปอด

นอกจากนี้ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อาจรวมถึง การติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอ่อนแอลงหลังจากได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ภาวะไขกระดูกล้มเหลว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ต้นกำเนิดที่ปลูกถ่ายไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดใหม่ได้เพียงพอ รวมถึง ภาวะแทรกซ้อนจากเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด เช่น อาการคลื่นไส้ ผมร่วง และความเสียหายของอวัยวะภายใน การปลูกถ่ายไขกระดูกจึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ

การดูแลหลังการปลูกถ่ายไขกระดูก

หลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูก ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป ผู้ป่วยต้องอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 2-4 สัปดาห์ และอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นตัวเต็มที่ ในช่วงแรกหลังการปลูกถ่าย แพทย์จะตรวจติดตามระดับเซลล์เม็ดเลือดและสังเกตอาการที่อาจบ่งบอกถึงภาวะร่างกายปฏิเสธเซลล์ใหม่ การดูแลหลังการปลูกถ่ายรวมถึง การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะ GVHD ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้านโภชนาการ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรืออาหารที่อาจมีเชื้อโรค นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ควรมีการตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อติดตามผลและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย

ความแตกต่างระหว่างเซลล์ต้นกำเนิดจากแหล่งต่างๆ

เซลล์ต้นกำเนิดสามารถมาจากแหล่งต่างๆ ซึ่งแต่ละแหล่งมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน เซลล์ต้นกำเนิดจากสายสะดือ เป็นแหล่งที่นิยมเพราะสามารถเก็บได้ง่ายหลังคลอด และมีโอกาสเข้ากันได้สูงเมื่อใช้ในครอบครัว แต่ปริมาณเซลล์ที่เก็บได้มักมีจำกัด ทำให้ไม่สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากได้

เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก ถือเป็นแหล่งที่ให้ปริมาณเซลล์มากที่สุด และมักถูกใช้ในกรณีที่ต้องการการปลูกถ่ายในปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม การเก็บจากไขกระดูกต้องผ่านกระบวนการเจาะไขกระดูก ซึ่งอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและต้องใช้เวลาพักฟื้น

เซลล์ต้นกำเนิดจากกระแสเลือด สามารถเก็บได้โดยการกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่กระแสเลือดแล้วนำออกมาแยก วิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัดเหมือนการเก็บจากไขกระดูก แต่มีข้อเสียคือจำนวนเซลล์ที่ได้อาจน้อยกว่าการเก็บจากไขกระดูก

Stem Cell Therapy กับอนาคตของการแพทย์ฟื้นฟู

Stem Cell Therapy หรือ การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด กำลังเป็นแนวทางสำคัญในอนาคตของการแพทย์ฟื้นฟู โดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งอาจช่วยรักษาโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาที่แน่ชัด เช่น โรคพาร์กินสัน โรคหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ในปัจจุบัน งานวิจัยเกี่ยวกับ Stem Cell Therapy กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านของ การใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน (Embryonic Stem Cells) และ เซลล์ต้นกำเนิดที่ถูกดัดแปลง (Induced Pluripotent Stem Cells หรือ iPSCs) ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ได้ตามต้องการ นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สเต็มเซลล์เพื่อซ่อมแซมอวัยวะที่เสียหาย เช่น หัวใจ สมอง และไขสันหลัง ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยที่เคยมีโอกาสฟื้นตัวต่ำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรักษาด้วยสเต็มเซลล์จะมีศักยภาพสูง แต่ยังคงต้องมีการศึกษาทดลองเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน การรักษาด้วย Stem Cell Therapy ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะทดลอง และยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ในหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังต้องมีการถกเถียงและพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมในอนาคต

บทความนี้ถูกตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องโดย

สุทธวดี สุขเจริญสิน

Sutawadee Sukcharoensin

ประวัติการศึกษา

Master’s degree : Anti aging & Regenerative medicine Bachelor’s degree : Faculty of Medicine,Ramathibodi hospital

เฉพาะทางด้าน

Anti Aging & Regenerative medicine, Orthopaedic